พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: การครอบครองปรปักษ์ไม่อาจใช้ได้บังคับกับแผ่นดิน
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยโดยบรรยายในฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น มีอำนาจ หน้าที่ในการดูแลรักษาที่ดินสาธารณะ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนป. อันเป็นสถานศึกษาในสังกัดของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแล้วโดยการครอบครองเกินกว่า 10 ปี ฉะนั้นการที่โจทก์นำสืบว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของใครและโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยเจ้าของเดิมยกให้เพื่อใช้ในกิจการของโจทก์นั้น เป็นการนำสืบถึงมูลเหตุซึ่งได้ที่ดินพิพาทมาเป็นของตนพร้อมทั้งวัตถุประสงค์ของการยกให้ไม่ใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ทรัพย์สินของแผ่นดินมี 2 ประเภท คือ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ธรรมดาซึ่งเป็นของรัฐ กับสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งมีลักษณะสำคัญอยู่ที่ว่าใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ฉะนั้น ทรัพย์สินของแผ่นดินที่จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้น จึงขึ้นอยู่กับสภาพของทรัพย์สินนั้นเองว่าได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาปรากฏว่า ที่ดินพิพาทซึ่งบริษัทช. ยกให้โจทก์ได้ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนป. และเนื่องจากโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐ ทรัพย์สินของโจทก์จึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ประเภทสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 จำเลยจึงไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 เมื่อประเด็น ในคดีนี้มีว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามข้อต่อสู้หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งกฎหมายห้ามมิให้จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดิน จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามมาตรา 1382 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2084/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินสาธารณประโยชน์: การครอบครองและประโยชน์ใช้สอยที่ดินของแผ่นดิน
โจทก์ที่ 1 อ้างว่าได้ที่ดินพิพาทมาโดยซื้อมาจาก ล. และที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินมือเปล่า ซึ่ง ล. ได้แจ้งการครอบครองไว้ตาม ส.ค.1 แต่ปรากฏว่าตาม ส.ค.1 (เอกสารหมาย จ.2) ดังกล่าวระบุเนื้อที่ดินและทิศข้างเคียงไม่ตรงกับสัญญาซื้อขาย นอกจากนี้โจทก์ที่ 1 ไม่มีเจ้าของที่ดินข้างเคียงกับที่ดินพิพาทมาเบิกความสนับสนุน ส่วนโจทก์ที่ 4 อ้างว่าได้ที่ดินพิพาทโดยรับมรดกจากบิดามารดา ตาม ส.ค.1 (เอกสารหมาย จ.4) ซึ่ง ปัจจุบันที่ดินทางด้านทิศตะวันออก จดที่ดินของ บ. แต่โจทก์ที่ 4 ก็ไม่ได้นำบ. มาเบิกความยืนยันคงมีแต่น้องเขย บุตรสาว และบุตรเขยของโจทก์ที่ 4 เบิกความสนับสนุนเท่านั้น จึงอาจเบิกความเข้าข้างกันได้ สำหรับโจทก์ที่ 5 อ้างว่า ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก ส. นั้นก็ไม่มีหลักฐานการซื้อขายมาแสดง และไม่มีเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาเบิกความสนับสนุนเช่นเดียวกัน ส่วนจำเลยนอกจากจำเลยที่ 1 ที่ 4ที่ 13 ที่ 14 และที่ 15 เบิกความเป็นพยานแล้ว ยังมีชาวบ้านอีกหลายคนซึ่งอยู่ตำบลเดียวกับที่ดินพิพาทและเจ้าพนักงานที่ดินเบิกความประกอบได้เจือสมตรงกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะสำหรับประชาชนใช้เป็นที่เลี้ยงโค กระบือ มาช้านานแล้ว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเกษตรกรประมาณ 40 คน ซึ่งมีโจทก์ที่ 4 รวมอยู่ด้วยได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินพิพาทปลูกพืชอยู่ 3 ปี ต่อมาผู้ใดจะเข้าไปทำประโยชน์ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่บ้านเป็นครั้งคราว และสภาตำบลลงมติให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสนามบินเก่าให้สร้างโรงเรียนบ้านน้ำอ้อม พยานจำเลยดังกล่าวมีกำนัน, อดีต ผู้ใหญ่บ้านและอดีต ครูใหญ่โรงเรียนบ้านน้ำอ้อม ซึ่งต่างมีอายุมากและอยู่ในตำบลที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ตลอดมา โดยไม่ปรากฏว่ามีเรื่องโกรธเคืองกับโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ย่อมเชื่อได้ว่าพยานเบิกความตามความจริง ดังนี้ พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ไม่มีสิทธิครอบครอง และการที่จำเลยเข้าไปปรับปรุงที่ดินพิพาทก็เพื่อใช้เป็นที่สร้างโรงเรียน โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ไม่สามารถทำนาในที่ดินพิพาทหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2173/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: การครอบครอง การออกโฉนด และอายุความ
ที่พิพาทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะในฐานะเป็นที่ดินของสำนักราชการบ้านเมืองเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) และเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนใช้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2474ไม่จำต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามหรือสงวนไว้และไม่ต้องขอจับจองที่ดินและแจ้งการครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินจำเลยจะยกอายุความมาเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินคือโจทก์หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2644-2645/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้แจ้งครอบครองก็ไม่ทำให้สภาพเปลี่ยนแปลง สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ
ที่ดินที่ทางราชการสงวนไว้สำหรับใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(3) แม้ผู้เข้าครอบครองจะได้แจ้งการครอบครองไว้ ก็ไม่ทำให้สภาพของที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเปลี่ยนแปลงไป ผู้ครอบครองนำที่ดินดังกล่าวให้ผู้อื่นเช่า สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ ผู้ครอบครองไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่หรือเรียกค่าเช่าจากผู้เช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983-986/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในไม้สักบนที่ดินของแผ่นดิน แม้มีการครอบครองและปลูกสร้างบ้านเรือนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ป่าสักของแผ่นดินนั้น แม้จะมีผู้ไปครอบครองและปลูกบ้านเรือนอยู่โดยไม่ได้ร้องขอเหยียบย่ำจับจองแต่อย่างใดแล้ว ก็ไม่มีสิทธิจะตัดฟันไม้สักในบริเวณนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานได้