พบผลลัพธ์ทั้งหมด 16 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6667/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินของรัฐ: การโอนสิทธิและการแจ้งเท็จเพื่อเอื้อประโยชน์ตนเอง
แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นที่ดินของรัฐ แต่ราษฎรก็อาจเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ได้ เพียงแต่เมื่อรัฐต้องการที่ดินดังกล่าว ราษฎรจะยกเอาการครอบครองมาเป็นข้อโต้แย้งรัฐมิได้ แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันเอง ผู้ที่ยึดถือครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนย่อมมีสิทธิปลดเปลื้องการรบกวนจากผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 เมื่อมีกฎหมายรับรองสิทธิในกรณีดังกล่าวผู้มีสิทธิย่อมสละสิทธินั้นได้ การที่จำเลยขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของรัฐให้โจทก์พร้อมส่งมอบการครอบครอง ย่อมถือได้ว่าจำเลยสละการครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์เข้ายึดถือครอบครองแล้ว
พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 มาตรา 6 ให้รัฐบาลมีอำนาจจัดที่ดินของรัฐเพื่อให้ประชาชนได้มีที่ตั้งเคหสถานและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งในที่ดินโดยจัดตั้งเป็นนิคม หมายความว่า ที่ดินของรัฐที่จะนำมาจัดให้กับประชาชนต้องเป็นที่ดินซึ่งยังไม่มีผู้ใดยึดถือครอบครอง แต่หากที่ดินผืนใดที่อยู่ในเขตนิคมมีผู้ยึดถือครอบครองเข้าทำประโยชน์อยู่แล้ว รัฐบาลย่อมไม่มีอำนาจยึดกลับคืนมาจัดสรรให้ราษฎรอื่น ทั้งนี้เพราะตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่มีบทมาตราใดที่ให้อำนาจรัฐบาลซึ่งก็คือคณะบุคคลคณะหนึ่งกระทำเช่นนั้นได้ การที่จำเลยได้รับ น.ส.3 และ น.ส.3 ก.อันเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการไปโดยผิดหลงจากการแจ้งเท็จของจำเลยเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองอันแท้จริงในที่ดินพิพาทอันเป็นที่ดินของรัฐ จำเลยย่อมไม่อาจอ้างเอาประโยชน์จากเอกสารสิทธิดังกล่าวได้ การที่โจทก์ซึ่งครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอันแท้จริง โดยจำเลยขายและส่งมอบการครอบครองให้โจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย
พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 มาตรา 6 ให้รัฐบาลมีอำนาจจัดที่ดินของรัฐเพื่อให้ประชาชนได้มีที่ตั้งเคหสถานและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งในที่ดินโดยจัดตั้งเป็นนิคม หมายความว่า ที่ดินของรัฐที่จะนำมาจัดให้กับประชาชนต้องเป็นที่ดินซึ่งยังไม่มีผู้ใดยึดถือครอบครอง แต่หากที่ดินผืนใดที่อยู่ในเขตนิคมมีผู้ยึดถือครอบครองเข้าทำประโยชน์อยู่แล้ว รัฐบาลย่อมไม่มีอำนาจยึดกลับคืนมาจัดสรรให้ราษฎรอื่น ทั้งนี้เพราะตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่มีบทมาตราใดที่ให้อำนาจรัฐบาลซึ่งก็คือคณะบุคคลคณะหนึ่งกระทำเช่นนั้นได้ การที่จำเลยได้รับ น.ส.3 และ น.ส.3 ก.อันเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการไปโดยผิดหลงจากการแจ้งเท็จของจำเลยเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองอันแท้จริงในที่ดินพิพาทอันเป็นที่ดินของรัฐ จำเลยย่อมไม่อาจอ้างเอาประโยชน์จากเอกสารสิทธิดังกล่าวได้ การที่โจทก์ซึ่งครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอันแท้จริง โดยจำเลยขายและส่งมอบการครอบครองให้โจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7034/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินนิคมสร้างตนเองและผลกระทบต่อสินสมรส การโอนที่ดินต้องเป็นไปตามเงื่อนไข พ.ร.บ.จัดที่ดินฯ
ที่ดินมือเปล่าที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรส เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงดังกล่าวนิคมสร้างตนเองยังมิได้มีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย และยังอยู่ในระหว่างที่กำลังปฏิบัติตามเงื่อนไขของการจะได้กรรมสิทธิ์ แต่ยังปฏิบัติไม่สำเร็จตามเงื่อนไข และตกอยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511 มาตรา 12 ที่บัญญัติว่า ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี และภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวที่ดินนั้นไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และถึงแม้หากจะได้มีหลักฐานกรรมสิทธิ์อยู่ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์เกินกว่าห้าปีแล้ว ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรสได้ ส่วนสิทธิในการที่จะได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของโจทก์ก็เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะไปว่ากล่าวกับนิคมสร้างตนเอง เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับและ พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ต่อไป
บ้านพิพาทอันเป็นสินสมรสปัจจุบันมีราคา 70,000 บาทและบ้านหลังนี้จำเลยได้ปลูกแทนบ้านที่ปลูกอยู่เดิม โดยจำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายในการปลูกสร้างใหม่ไปเป็นเงิน 40,000 บาท ดังนี้การคำนวณราคาบ้านหลังเดิมว่าจำนวนเท่าใดจึงต้องนำราคาบ้านหลังปัจจุบัน หักด้วยราคาค่าใช้จ่ายที่นำมาปลูกขึ้นใหม่
บ้านพิพาทอันเป็นสินสมรสปัจจุบันมีราคา 70,000 บาทและบ้านหลังนี้จำเลยได้ปลูกแทนบ้านที่ปลูกอยู่เดิม โดยจำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายในการปลูกสร้างใหม่ไปเป็นเงิน 40,000 บาท ดังนี้การคำนวณราคาบ้านหลังเดิมว่าจำนวนเท่าใดจึงต้องนำราคาบ้านหลังปัจจุบัน หักด้วยราคาค่าใช้จ่ายที่นำมาปลูกขึ้นใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 745/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินนิคมสร้างตนเองต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ การโอนสิทธิก่อนเข้าเป็นสมาชิกนิคมเป็นโมฆะ
ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของนิคมสร้างตนเองลำตะคองอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้ พ. จะครอบครองอยู่ ก็ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่จะโอนสิทธิไปให้แก่ผู้ใด เมื่อมีการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองขึ้น ผู้ใดจะได้สิทธิในที่ดินต้องตกอยู่ในเงื่อนไขและวิธีการของการจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาทมาก่อนเลย โดยมี พ. เป็นผู้ครอบครองอยู่ ทั้งเมื่อมีการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองขึ้นแล้วโจทก์ก็มิได้เป็นผู้ครอบครองและขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคม แต่พ. เป็นผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคม แม้โจทก์จะอ้างว่าได้รับโอนขายที่ดินมาจาก พ. ตั้งแต่ก่อนที่ พ. จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคม แต่เมื่อโจทก์มิได้ดำเนินการตามเงื่อนไขและวิธีการของพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่ได้สิทธิในที่พิพาทและถือว่าการโอนขายที่ดินระหว่าง พ. กับโจทก์เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ไม่มีผลใช้บังคับโจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งครอบครองที่พิพาทอยู่และเป็นสมาชิกของนิคมให้ออกจากที่พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3965/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินเดิมย่อมได้รับการคุ้มครอง แม้มีการจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง และการออก น.ส.3 โดยชอบ
จำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทมาก่อนที่ทางราชการจะประกาศสงวนที่ดินเป็นเขตนิคมสร้างตนเอง แม้จะมีการสงวนที่ดิน แต่กรมประชาสงเคราะห์ก็มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดว่าจะไม่รบกวนสิทธิของราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์อยู่ทั้งตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511ก็มิได้มีบทบัญญัติที่จะเป็นการตัดสิทธิของราษฎรที่มีสิทธิในที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ที่พิพาทจึงไม่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้จำเลยมิได้สมัครเป็นสมาชิกของนิคมก็ไม่ทำให้จำเลยเสียสิทธิครอบครองอันทำให้ที่พิพาทกลับคืนมาเป็นของรัฐ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1302/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินหวงห้ามตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ มิใช่ที่สาธารณประโยชน์เดิม แม้มีการสงวนไว้หรือใช้ประโยชน์ภายหลัง
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรีและสระบุรีพ.ศ. 2485 ตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 ที่ดินที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกาย่อมหมายถึงสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่า ดังบัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 มาตรา 4 เท่านั้นไม่รวมถึงสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งมีอยู่ก่อนใช้พระราชกฤษฎีกา
ที่พิพาทมิใช่เป็นที่สาธารณประโยชน์ที่สงวนไว้เพื่อประชาชนใช้ร่วมกันมาแต่เดิมก่อนพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี พ.ศ. 2485 ประกาศใช้บังคับ แต่เป็นโครงการของอำเภอชัยบาดาลจัดที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกาทำเป็นผังเมืองขึ้นในปี พ.ศ. 2503 โดยประสงค์จะใช้ที่พิพาทและที่ดินบริเวณติดต่อทำเป็นถนนและสระน้ำสาธารณะ อันเป็นการดำเนินการขึ้นภายหลังที่ออกพระราชกฤษฎีกาแล้ว และโครงการดังกล่าวกระทรวงมหาดไทยได้สั่งยกเลิกไปแล้วการที่อำเภอชัยบาดาลยังสงวนที่ดินไว้ และสุขาภิบาลลำนารายณ์ถมที่พิพาทจัดทำเป็นตลาดวางหาบเร่กับเก็บขยะ หามีผลทำให้ที่พิพาทอันเป็นที่รกร้างว่างเปล่ามาแต่เดิมซึ่งตกมาเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกา กลายเป็นที่สาธารณประโยชน์ไม่ เพราะอำนาจในการจัดดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินอันเป็นที่หวงห้ามมิใช่เป็นของนายอำเภอ แต่เป็นอำนาจของอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ตามความในมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกานั้น
อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์อนุญาตให้โจทก์เข้าอยู่อาศัยทำกินในที่พิพาทแล้วแม้โจทก์จะเคยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ ก็เป็นเรื่องรับรู้ว่าที่พิพาทอยู่ในโครงการของอำเภอเท่านั้น หาใช่เป็นการยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่สงวนไว้มาแต่เดิมไม่จำเลยจึงไม่มีอำนาจสั่งห้ามโจทก์ระงับการก่อสร้างโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ
ที่พิพาทมิใช่เป็นที่สาธารณประโยชน์ที่สงวนไว้เพื่อประชาชนใช้ร่วมกันมาแต่เดิมก่อนพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี พ.ศ. 2485 ประกาศใช้บังคับ แต่เป็นโครงการของอำเภอชัยบาดาลจัดที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกาทำเป็นผังเมืองขึ้นในปี พ.ศ. 2503 โดยประสงค์จะใช้ที่พิพาทและที่ดินบริเวณติดต่อทำเป็นถนนและสระน้ำสาธารณะ อันเป็นการดำเนินการขึ้นภายหลังที่ออกพระราชกฤษฎีกาแล้ว และโครงการดังกล่าวกระทรวงมหาดไทยได้สั่งยกเลิกไปแล้วการที่อำเภอชัยบาดาลยังสงวนที่ดินไว้ และสุขาภิบาลลำนารายณ์ถมที่พิพาทจัดทำเป็นตลาดวางหาบเร่กับเก็บขยะ หามีผลทำให้ที่พิพาทอันเป็นที่รกร้างว่างเปล่ามาแต่เดิมซึ่งตกมาเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกา กลายเป็นที่สาธารณประโยชน์ไม่ เพราะอำนาจในการจัดดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินอันเป็นที่หวงห้ามมิใช่เป็นของนายอำเภอ แต่เป็นอำนาจของอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ตามความในมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกานั้น
อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์อนุญาตให้โจทก์เข้าอยู่อาศัยทำกินในที่พิพาทแล้วแม้โจทก์จะเคยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ ก็เป็นเรื่องรับรู้ว่าที่พิพาทอยู่ในโครงการของอำเภอเท่านั้น หาใช่เป็นการยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่สงวนไว้มาแต่เดิมไม่จำเลยจึงไม่มีอำนาจสั่งห้ามโจทก์ระงับการก่อสร้างโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติ – สิทธิครอบครอง – การจัดสรรนิคม – การครอบครองก่อนกฎหมายหวงห้าม
ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ภายในแนวเขตของการจัดสรรนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ ที่พิพาทเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ตำบลหนองแขม ตำบลมะต้อง ตำบลวงฆ้อง ตำบลหอกลอง ตำบลวัดโบสถ์ และตำบลท่างาม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. 2487 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญํติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ที่พิพาทคงเป็นที่หวงห้ามต่อไปตลอดมาจนบัดนี้ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 นั้น ที่พิพาทย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 โจทก์ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 14 - 15 ปี แต่ก็เป็นระยะเวลาภายหลังที่ที่พิพาทตกเป็นที่หวงห้ามตามกฎหมายแล้ว และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ การครอบครองที่พิพาทของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทั้งสี่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำกินในที่พิพาทโดยเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้จัดให้เช่นนี้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติ: สิทธิครอบครองของผู้ได้รับอนุญาตจากนิคมฯ เหนือกว่าการครอบครองโดยมิชอบ
ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ภายในแนวเขตของการจัดสรรนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ ที่พิพาทเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ตำบลหนองแขม ตำบลมะต้องตำบลวงฆ้องตำบลหอกลอง ตำบลวัดโบสถ์ และตำบลท่างาม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ.2487 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ที่พิพาทคงเป็นที่หวงห้ามต่อไปตลอดมาจนบัดนี้ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 นั้นที่พิพาทย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 โจทก์ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 14-15 ปี แต่ก็เป็นระยะเวลาภายหลังที่ที่พิพาทตกเป็นที่หวงห้ามตามกฎหมายแล้ว และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ การครอบครองที่พิพาทของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยทั้งสี่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำกินในที่พิพาทโดยเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้จัดให้เช่นนี้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1387/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินนิคมสร้างตนเอง: การสงวนที่ดินโดยคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติโดยไม่ต้องมี พ.ร.ฎ. และสิทธิของกรมประชาสงเคราะห์
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 20(4) คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่พิจารณาสงวนที่ดินตามความต้องการของกรมประชาสงเคราะห์ เพื่อจัดตั้งนิคมสร้างตนเองได้ โดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่ดินตามความในมาตรา 4,5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พุทธศักราช 2478 เพราะพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 4 ได้บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าฯนั้นแล้ว การที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีมติมอบอำนาจให้กรมประชาสงเคราะห์ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดที่ดินกรมประชาสงเคราะห์จึงมีหน้าที่จัดการที่ดินดังกล่าวนั้นตามมติคณะกรรมการจัดการที่ดินแห่งชาติได้ ถึงแม้ในขณะนั้นจะยังมิได้ออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองก็ตาม
เมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินที่กรมประชาสงเคราะห์ได้รับมอบหมายมาดังกล่าวได้ถูกโจทก์กล่าวอ้างโต้แย้งสิทธิว่าเป็นที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่ กรมประชาสงเคราะห์ย่อมมีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่นั้นได้
เมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินที่กรมประชาสงเคราะห์ได้รับมอบหมายมาดังกล่าวได้ถูกโจทก์กล่าวอ้างโต้แย้งสิทธิว่าเป็นที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่ กรมประชาสงเคราะห์ย่อมมีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่นั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงการยอมรับผลการชี้ขาดสิทธิครอบครองของนิคมฯ คู่ความต้องผูกพันตามข้อตกลงนั้น
คู่ความต่างท้ากันว่า หากเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองชี้ขาดตามหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคม ฯ ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายมีสิทธิครอบครองโดยชอบแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งยอมแพ้คดี โดยถือเอาหลักฐานที่มีอยู่ในนิคมเป็นใหญ่ และไม่ติดใจสู้ในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคมสร้างตนเอง และเจ้าหน้าที่มาเป็นพยาน แต่ฝ่ายจำเลยอ้างเจ้าหน้าที่นิคมและเอกสารหลักฐานจากนิคมเป็นเป็นพยาน เจ้าหน้าที่นิคมเบิกความประกอบเอกสารดังกล่าวและยืนยันว่าทางนิคมได้จัดสรรที่ดินให้จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินตลอดมา จึงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่นิคมฯ ได้ชี้ขาดตามหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคมว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยตรงตามคำท้าระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงยอมแพ้คดีตามคำท้า และการชี้ขาดสิทธิครอบครองโดยนิคมฯ
คู่ความต่างท้ากันว่า หากเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองชี้ขาดตามหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคมฯ ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายมีสิทธิครอบครองโดยชอบแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งยอมแพ้คดี โดยถือเอาหลักฐานที่มีอยู่ในนิคมเป็นใหญ่ และไม่ติดใจสู้ในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไปดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคมสร้างตนเองและเจ้าหน้าที่มาเป็นพยานแต่ฝ่ายจำเลยอ้างเจ้าหน้าที่นิคมและเอกสารหลักฐานจากนิคมเป็นพยานเจ้าหน้าที่นิคมเบิกความประกอบเอกสารดังกล่าวและยืนยันว่าทางนิคมได้จัดสรรที่ดินให้จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินตลอดมา จึงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่นิคมฯได้ชี้ขาดตามหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคมว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยตรงตามคำท้าระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว