คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บรรษัทบริหารสินทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13605/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการสวมสิทธิเรียกร้องหลังโอนหนี้: บรรษัทบริหารสินทรัพย์สามารถสวมสิทธิได้ตามกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยผู้สวมสิทธิแทนโจทก์เดิมโอนสินทรัพย์รวมทั้งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามสิทธิเรียกร้องแล้วให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยบทบัญญัติของ พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 และเป็นการเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยผลของกฎหมาย ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ ส่วนจำเลยที่ 1 จะมีหนี้อยู่กับโจทก์เดิมในเรื่องใด จำนวนเท่าไร และจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวจนเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 1 ในการดำเนินการบังคับคดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละกรณีกับสิทธิในการยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนในคดีนี้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยดำเนินการแก้ไขเกี่ยวกับหนี้ของจำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นและหนี้ระงับแล้ว ผู้ร้องไม่อาจเข้ามาสวมสิทธิได้นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11103/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจำหน่ายทรัพย์สินด้อยคุณภาพของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ตาม พ.ร.ก. 2544 ชอบด้วยกฎหมาย แม้เป็นการดำเนินการเอง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า การที่จำเลยนำทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดชอบด้วย พ.ร.ก. บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 หรือไม่ และจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบอย่างไร คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.ก. บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 5 มีวัตถุประสงค์ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ พระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงินที่ให้อำนาจแก่จำเลยเป็นพิเศษที่จะดำเนินการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาตามวิธีการที่กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์แก่การฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ อันเป็นวัตถุประสงค์ที่ให้มีการจัดตั้งจำเลยขึ้น และจำเลยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้น หากจำเลยดำเนินการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. อาจไม่เสร็จทันเวลาตามที่กฎหมายกำหนด การที่จำเลยดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองที่ดินพิพาทที่เป็นหลักประกัน แล้วขอให้จดทะเบียนระงับจำนอง กับจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแทนการจำหน่าย จึงชอบด้วย พ.ร.ก. บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16750/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทรัพย์หลักประกันเพื่อฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ
โจทก์เป็นบริษัทเฉพาะกิจ ตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมผู้บริหารบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) มีวัตถุประสงค์รับเป็นผู้จัดการดูแลผลประโยชน์และเก็บผลประโยชน์จากการรับโอนหลักประกันของลูกหนี้ รายบริษัทคันทรี่ฯ ซึ่งปรับโครงสร้างหนี้กับ (บสท.) โดยผ่านกระบวนการฟื้นฟูของศาลล้มละลายกลาง การที่โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ในโครงการคันทรี่ มารีน่า ซิตี้ ซึ่งเป็นหลักประกันการชำระหนี้ของบริษัทคันทรี่ฯ แล้วขายคืนให้แก่นิติบุคคลทั้งสามที่ลูกหนี้เสนอซื้อก็เป็นไปเพื่อแก้ไขฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ให้สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ และมีวัตถุประสงค์ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ (บสท.) เพื่อประโยชน์แก่การฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ ย่อมถือได้ว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นหลักประกันของลูกหนี้ของโจทก์เป็นการขายแทน บสท. เมื่อ บสท. ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีอากรจากกฎหมายทั้งปวงในการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามมาตรา 43 แห่ง พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 จึงไม่มีภาษีธุรกิจเฉพาะที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4881/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนภารกิจจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยที่ชำระบัญชีแล้วไปยังกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินคดีแทน
พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 94 วรรคสอง บัญญัติว่า "บรรดาทรัพย์สินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยที่ยังคงเหลืออยู่ ให้จัดโอนแก่กระทรวงการคลังภายในเวลาหกสิบวันนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี" ซึ่งสอดคล้องกับ พ.ร.ฎ. ว่าด้วยการชำระบัญชีบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2554 มาตรา 19 ที่บัญญัติว่า "เมื่อเสร็จการชำระบัญชีแล้วให้คณะกรรมการชำระบัญชีดำเนินการ ดังต่อไปนี้... (2) ให้โอนทรัพย์สินที่คงเหลือให้แก่กระทรวงการคลังภายในหกสิบวันนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี" เมื่อโจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยที่ 1 ยังมีหน้าที่ทำหนังสือรับรองการโอนอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ของสถาบันการเงินให้แก่โจทก์ทั้งสอง กระทรวงการคลังจึงมีหน้าที่ในภารกิจที่ยังค้างอยู่ของจำเลยที่ 1 และย่อมเป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีนี้แทนจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4494/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจำหน่ายทรัพย์สินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ตาม พ.ร.ก.บริหารสินทรัพย์ และผลของการปฏิบัติตามขั้นตอนตามกฎหมายพิเศษ
พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มีบทบัญญัติให้จำเลยมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการ จำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้หรือจำหน่ายหนี้สูญ อันเป็นการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนด แม้จำเลยจะเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนตามมาตรา 30 เพื่อเข้ามาดำเนินคดีต่อไป ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดบังคับให้จำเลยต้องดำเนินการบังคับคดีเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้โดยวิธีการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอย่างเดียว แต่จำเลยมีอำนาจดำเนินการบังคับเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ตามมาตรา 75 ถึงมาตรา 82 อันเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้ยกเว้นการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งจำเลยได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามมาตรา 74 และมาตรา 76 ถูกต้องครบถ้วนแล้ว กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 82 ซึ่งบัญญัติห้ามเพิกถอนการจำหน่ายทรัพย์สินตามวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา 76 การโอนที่ดินพิพาทของจำเลยและจำเลยร่วมจึงชอบแล้ว