พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2548 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของบริษัทจัดการกองทุนรวม: บริษัทหลักทรัพย์มีอำนาจฟ้องแทนกองทุนรวมเมื่อผิดสัญญา
โจทก์เป็นบริษัทหลักทรัพย์ประเภทกิจการจัดการลงทุน ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้จัดตั้งกองทุนรวม 2 กองทุน และได้จดทะเบียนกองทุนรวมทั้งสองเป็นนิติบุคคลไว้กับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อออกหน่วยลงทุนมาจำหน่ายแก่ประชาชนนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินหรือไปหาดอกผลโดยวิธีอื่นได้ เนื่องจากการจัดการกองทุนรวมเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทหนึ่ง แต่การจัดการกองทุนรวมโจทก์จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและวิธีการจัดการกองทุนรวมตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ฯ มาตรา 117 ถึงมาตรา 132 โจทก์จึงมีอำนาจในการจัดการและรับผิดชอบในการดำเนินการของกองทุนตามมาตรา 117 ประกอบด้วยมาตรา 124 วรรคสองและมาตรา 125 (1) และโจทก์ก็ได้จัดให้ธนาคาร ก. เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมตามมาตรา 121 และมาตรา 122 มีหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของผู้ถือหน่วยลงทุนในการติดตามดูแลควบคุมให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติจัดการกองทุนรวมตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายโดยเคร่งครัด และมีอำนาจฟ้องร้องบังคับคดีให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน ผู้ดูแลผลประโยชน์จึงมิได้มีอำนาจในการจัดการกองทุนรวม ส่วนการกำหนดให้กองทุนรวมเป็นนิติบุคคลเป็นเพียงการแยกหน่วยลงทุนซึ่งเป็นทรัพย์สินของแต่ละกองทุนออกจากกันแยกต่างหากจากกองทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดการเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนในแต่ละกองทุนรวม เมื่อจำเลยออกหุ้นกู้เสนอขายแก่นักลงทุนและโจทก์ได้ซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวในนามของทั้งสองกองทุนรวม ต่อมาจำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามหนังสือเสนอขายหุ้นต่อกองทุนรวมทั้งสอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของบริษัทหลักทรัพย์ในคดีที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมที่จดทะเบียนแล้ว
กองทุนรวมเป็นการออกหน่วยลงทุนของแต่ละโครงการจำหน่ายแก่ประชาชนเพื่อนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหน่วยลงทุนนั้นไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือไปหาดอกผลโดยวิธีอื่น เพื่อหากำไรมาแบ่งให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน การจัดการกองทุนรวมเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทหนึ่ง การขอจัดตั้งกองทุนรวมจึงต้องกระทำโดยบริษัทหลักทรัพย์ โจทก์เป็นบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมไทยพาณิชย์ทุนทวี 2 และกองทุนไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ก้าวหน้าแล้ว โจทก์ได้จัดให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมทั้งสอง ตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 121 และ 122 และได้จดทะเบียนกองทรัพย์สินของกองทุนรวมทั้งสองเป็นกองทุนรวมตามเงื่อนไขในมาตรา 124 วรรคหนึ่งแล้ว ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมมีหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของผู้ถือหน่วยลงทุนในการติดตามดูแลให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติจัดการกองทุนรวมตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายโดยเคร่งครัด และมีอำนาจฟ้องร้องบังคับคดีให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทหลักทรัพย์ อันเป็นการใช้สิทธิควบคุมบริษัทหลักทรัพย์เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนเท่านั้น ผู้ดูแลผลประโยชน์มิได้มีอำนาจในการจัดการกองทุนรวม ส่วนการจดทะเบียนกองทรัพย์สินของทุนรวมตามมาตรา 124 วรรคสอง ที่มีผลทำให้กองทุนรวมที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคลนั้น เป็นเพียงการแยกหน่วยลงทุนซึ่งเป็นทรัพย์สินของแต่ละกองทุนรวมออกจากกันเพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์นำทรัพย์สินของกองทุนรวมแต่ละกองทุนไปหาผลประโยชน์ตามโครงการจัดการกองทุนรวม ผลประโยชน์ที่ได้มาจากการจัดการกองทุนรวมใดก็ตกเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมนั้น และเป็นการแยกกองทรัพย์สินของกองทุนรวมซึ่งเป็นทรัพย์สินของผู้ถือหน่วยลงทุนในแต่ละกองทุนรวมต่างหากจากกองทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดการ เป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนในแต่ละกองทุนรวมเท่านั้น การจัดการและการรับผิดชอบในการดำเนินการของกองทุนรวมยังเป็นอำนาจของบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามหนังสือข้อสนเทศเสนอขายหุ้นกู้ต่อกองทุนรวมทั้งสองเป็นคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2929/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายต่อชื่อเสียงและเกียรติคุณของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทหลักทรัพย์จากข่าวเท็จ
โจทก์เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ อ. ตลอดจนเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้บริหารในตำแหน่งประธานกรรมการ และมีหุ้นถืออยู่ร้อยละ 80.93 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ถือได้ว่าโจทก์มีความเกี่ยวพันกับบริษัทดังกล่าวเป็นพิเศษ ความเชื่อถือของประชาชนต่อธุรกิจของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ อ. จึงอาศัยชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์เป็นสำคัญ ฉะนั้น เมื่อมีผู้กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงที่เป็นผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกิจการของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ อ. แล้ว โจทก์ก็ย่อมได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณทางทำมาหาได้ของโจทก์ด้วย แม้ว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ อ. จะมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ก็ตาม ดังนั้น การที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจากการแถลงข่าวอันเป็นเท็จของจำเลยทั้งสอง เป็นผลให้ประชาชนผู้ฝากเงินเกรงว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ อ. จะไม่มีเงินให้ถอนคืนเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงินจึงมารุมถอนเงินมากผิดปกติ อีกทั้งจำเลยได้สั่งให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ อ. หยุดกิจการ และให้โจทก์พ้นจากหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่มีผลถึงโจทก์ ถือว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 953/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คชำระหนี้ค่าหุ้น ผู้ทรงเช็คมีอำนาจร้องทุกข์ แม้บริษัทหลักทรัพย์ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าหุ้นให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะจำเลยมีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย โจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จะกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 46 หรือไม่ เป็นกรณีที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกเรื่องหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 953/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช็คและการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์บริษัทหลักทรัพย์ กรณีเช็คไม่มีเงินจ่าย
การที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คชำระหนี้ค่าหุ้นให้โจทก์ร่วมเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะจำเลยที่ 1 มีเงินในบัญชีไม่พอจ่ายโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ ส่วนโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จะกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 46 หรือไม่เป็นกรณีที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2364/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำฟ้องสัญญาเบิกเกินบัญชีและอำนาจฟ้องของบริษัทหลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาเบิกเกินบัญชีที่โจทก์ออกแทนจำเลยไปในการซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องถึงวันเวลาที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์ วิธีการสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ตามสำเนาหนังสือสัญญาและสำเนาบัญชียอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระท้ายฟ้องซึ่งเป็นการแสดงถึงวันที่จำเลยแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โจทก์ทำการเป็นนายหน้าและจ่ายเงินแทนจำเลย รวมทั้งข้อตกลงที่โจทก์จำเลยจะตัดทอนบัญชีอันเกิดจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ให้จำเลย เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่าโจทก์มีสิทธิซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โดยโจทก์เป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแพ่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงไม่เคลือบคลุม.