คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ปฏิเสธข้ออ้าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2236/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำให้การที่ขัดแย้งกันเอง และผลกระทบต่อประเด็นข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177
แม้การแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 1 จะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่กล่าวแก้ข้อหาของโจทก์ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำให้การเดิมหรือไม่ก็ย่อมกระทำได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 (3) แต่เนื่องจากคำให้การของจำเลยที่ 1 กับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 1 ขัดแย้งกันเอง กลายเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงไม่อาจอนุญาตให้จำเลยที่ 1 แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การตามคำร้องดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6526/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธข้ออ้างโจทก์และการนำสืบพยานเพื่อสนับสนุนข้อปฏิเสธ ย่อมไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
จำเลยให้การปฏิเสธเรื่องการซื้อขายกับโจทก์โดยอ้างเหตุว่าไม่เคยมีการสั่งซื้อหรือรับวัสดุก่อสร้างจากโจทก์เลย ทั้งยังให้การต่อไปอีกว่าจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์มาก่อน โจทก์นำความเท็จมาฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง คำให้การของจำเลยดังกล่าวได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นแล้ว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงนำสืบได้ว่า จำเลยได้ว่าจ้าง ล.รับเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์ซึ่งรวมทั้งค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างด้วย ที่ ล.ติดต่อซื้อวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย อันเป็นการนำสืบในรายละเอียดเพื่อสนับสนุนข้อปฏิเสธของตน ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธข้ออ้างและสิทธิในการนำสืบพยาน การครอบครองปรปักษ์ และคำสั่งที่ไม่ชอบของศาล
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองผิดสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 1 ตกลงรับสภาพหนี้กับโจทก์ และทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันเดิมฉบับใหม่กับโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองให้การว่า หลังจากจำเลยที่ 1ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ฉบับแรกแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้ตกลงรับสภาพหนี้กับโจทก์ด้วยการทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ฉบับใหม่ และจำเลยที่ 2ก็มิได้ตกลงทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ สัญญาซื้อขายรถยนต์และสัญญาค้ำประกันฉบับใหม่เป็นเอกสารปลอมที่โจทก์นำแบบฟอร์มสัญญาซื้อขายรถยนต์และสัญญาค้ำประกันมาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ลงชื่อในสัญญาซื้อขายและสัญญาค้ำประกันตามลำดับแล้วโจทก์นำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความอันเป็นเท็จโดยไม่ได้รับความยินยอม คำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้ง ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ให้เหตุผลแห่งการปฏิเสธว่าสัญญาซื้อขายและสัญญาค้ำประกันฉบับใหม่เป็นเอกสารปลอม เมื่อคำให้การของจำเลยชัดแจ้งและไม่ขัดกัน คำสั่งของศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบแก้ในประเด็นว่ามีการรับสภาพหนี้โดยทำสัญญาซื้อขายและค้ำประกันหรือไม่ กับสัญญาซื้อขายและค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิในรถยนต์บรรทุกพิพาทดีกว่าโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวมาด้วยความสงบ เปิดเผยและแสดงเจตนาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 5 ปี ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเกี่ยวกับรถยนต์บรรทุกพิพาทอีกต่อไป คำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง แล้ว ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองนำพยานเข้าสืบแก้ในประเด็นข้อ 1 และข้อ 4 แต่จำเลยทั้งสองมิได้นำพยานเข้าสืบแก้ในประเด็นดังกล่าวเอง ฉะนั้น เมื่อศาลสูงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิสืบพยานในประเด็นข้อนั้น และสำหรับประเด็นการครอบครองปรปักษ์รถยนต์พิพาทที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยนั้นเมื่อจำเลยนำสืบพยานในประเด็นข้อนี้แล้วก็ต้องให้โจทก์มีสิทธิสืบแก้ในข้อนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3099/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งสิทธิการแบ่งแยกที่ดินอ้างอิงข้อตกลงประกันหนี้ การปฏิเสธข้ออ้างชัดแจ้งชอบตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินพิพาท เนื้อที่ 15 ไร่เศษ โดยโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ 8 ไร่นอกนั้นเป็นของจำเลย โจทก์ขอแบ่งแยกที่ดินพิพาท จำเลยเพิกเฉยจึงขอบังคับจำเลยให้แบ่งที่ดินพิพาทตามส่วนแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าเดิมโจทก์จำเลยมีหนี้สินกันอยู่ ต่อมาปี 2529 จำเลยตกลงโอนที่ดินพิพาทบางส่วนเพื่อประกันการชำระหนี้โดยมีภาระผูกพันว่าหากจำเลยหาเงินที่เป็นหนี้พร้อมดอกเบี้ยชำระคืนโจทก์ โจทก์ยอมโอนที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลย จำเลยขอชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์โจทก์กลับปฏิเสธ โจทก์ไม่สุจริต ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ คำให้การจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งแยกที่ดินพิพาท เพราะมีข้อตกลงโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่มีภาระผูกพันว่าหากจำเลยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โจทก์จะโอนที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลย และจำเลยได้ขอชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์แล้วแต่โจทก์ไม่ยอม จึงเป็นคำให้การที่ปฏิเสธโดยชัดแจ้ง รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เป็นคำให้การที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสองส่วนจำเลยเป็นหนี้โจทก์ค่าอะไร จำนวนเท่าใดดอกเบี้ยอัตราเท่าใดและมีข้อตกลงเรื่องหนี้สินกันจริงดังจำเลยอ้างเป็นเหตุปฏิเสธต่อโจทก์จริงหรือไม่ เป็นเรื่องรายละเอียดที่จำเลยมีสิทธินำสืบในชั้นพิจารณาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2976/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คัดค้านทรัพย์สินที่ถูกยึด การให้การปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้อง ถือเป็นการต่อสู้คดีที่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์เคยขอยึดทรัพย์ไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ซึ่งโจทก์ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้อง แต่คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ขอหมายบังคับคดีภายใน 15 วัน การยึดทรัพย์จึงเป็นอันยกเลิก ต่อมาโจทก์จึงขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยรายเดียวกันนี้ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์เป็นของผู้ร้อง ในคำร้องคัดค้านคำร้องขัดทรัพย์ของโจทก์แม้จะไม่ได้กล่าวตรง ๆ ว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องเช่นเดียวกับคดีแรก แต่โจทก์ก็กล่าวอ้างว่า แม้ศาลจะไม่ได้วินิจฉัยในครั้งก่อนแต่สิทธิของโจทก์ตามกฎหมายที่จะยึดทรัพย์ของจำเลยยังมีอยู่ เมื่อทรัพย์รายนี้เป็นทรัพย์รายเดียวกับคดีเดิม จึงพอถือได้ว่าโจทก์ให้การต่อสู้ว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้อง จึงเป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธข้ออ้างที่ไม่ชัดเจน, สิทธิในการนำสืบ, และดุลพินิจค่าฤชาธรรมเนียม
ให้การปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องแต่ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ จำเลยไม่มีข้อนำสืบ แม้จะถามค้านพยานโจทก์ไว้แล้วก็ไม่มีสิทธินำสืบ
แม้คำสั่งศาลชั้นต้นจะไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 65 ในการที่สั่งอนุญาตให้ทนายความถอนตัวโดยไม่ให้ตัวความทราบเสียก่อน แต่ศาลชั้นต้นได้สั่งงดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาก่อนแล้วจึงได้สั่งอนุญาตให้ทนายความถอนตัว ทั้งได้ส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวของทนายความให้จำเลยทราบก่อนวันอ่านคำพิพากษาแล้วจำเลยจึงไม่ได้รับความเสียหายไม่จำเป็นที่จะต้องเพิกถอนคำสั่ง ศาลชั้นต้นในเรื่องนี้
แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไม่เต็มตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง แต่เมื่อคำนึงถึงเหตุดังกล่าวในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 ประกอบกับพฤติการณ์ในการดำเนินคดีของจำเลยด้วยแล้วการที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ตั้งฟ้องมานั้นถูกต้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2490

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบในคดีมรดก: การปฏิเสธข้ออ้างไม่ใช่คำรับ และการพิสูจน์การยกทรัพย์
คดีฟ้องแบ่งมรดก จำเลยให้การต่อสู้ว่า ได้แบ่งทรัพย์กันเสร็จไปแล้ว โจทก์แถลงว่าได้เข้าครอบครองที่ดินสองแปลงจริง แต่ไม่ใช่เพราะจำเลยแบ่งให้ ดังนี้ไม่ใช่คำรับ จำเลยคงมีหน้าที่นำสืบตามข้อต่อสู้
เมื่อจำเลยรับว่า ทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องเป็นของเจ้ามรดกแล้วการที่จำเลยอ้างว่าเจ้ามรดกยกให้ตนก่อนตาย ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบ
แม้ศาลกำหนดหน้าที่นำสืบไว้อย่างไร ถ้าคู่ความไม่สืบพยาน ศาลก็วินิจฉัยให้แพ้ชนะตามแต่หน้าที่ที่จะต้องนำสืบตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้การปฏิเสธอายุความต้องระบุเหตุแห่งการขาดอายุความ มิฉะนั้นถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ
ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง กำหนดให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นด้วย ดังนั้น นอกจากจำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จำเลยต้องให้การโดยแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏด้วย กล่าวคือ ต้องบรรยายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้องคดีขาดอายุความไปแล้ว การที่จำเลยให้การเพียงว่ามูลหนี้ตามคำฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง โดยมิได้กล่าวถึงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏ จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลย ก็มิใช่เหตุที่ทำให้เกิดประเด็นข้อพิพาทตามกฎหมาย