คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 10 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8548/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองและพยายามส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และ 4 จำเลยทราบประกาศกระทรวงสาธารณสุขแล้ว
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 97ฯ ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 มาตรา 6 (1) และมาตรา 11 (4) แห่ง พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2539 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับดังกล่าวจึงมีผลบังคับใช้
คำฟ้องของโจทก์ในข้อ ก. กล่าวว่า จำเลยมีไว้เพื่อขายซึ่งเฟนเตอมีนอันเป็นวัถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 97ฯ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและจำเลยได้ทราบประกาศนี้แล้ว และจำเลยได้พยายามนำเฟนเตอมีนดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรไทย เพื่อไปยังประเทศสาธารณรัฐเกาหลีโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการบรรยายฟ้องที่ยืนยันว่าจำเลยทราบประกาศดังกล่าวแล้ว แม้ท้ายฟ้องหรือในการพิจารณาโจทก์มิได้นำส่งประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับดังกล่าว ก็หาทำให้การฟ้องและการดำเนินคดีของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1682/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชอบด้วยกฎหมายของประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดเมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 6และมาตรา 8(1) ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษประกาศให้ยาเสพติดให้โทษชื่อใดอยู่ในประเภทใดได้ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ประกาศให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงมีผลใช้บังคับได้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 6 เช่นกฎหมายประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 จึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมียาเสพติดไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายและการซื้อขายยาเสพติดประเภท 1 จำเลยต้องทราบประกาศกระทรวงสาธารณสุข
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 ตามกฎหมายจำนวน 1,030 เม็ด น้ำหนัก 95.736กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 17.041 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายโดยขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไป 2 เม็ด แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา160 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตรงตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ย่อมมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆเมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และจำเลยได้ทราบว่าเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โจทก์ยังบรรยายฟ้องต่อท้ายข้อความที่ว่า "ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1" ด้วยข้อความว่า"ตามกฎหมาย" อันเป็นการกล่าวย้ำ ข้อความที่กล่าวมาก่อน คำฟ้องโจทก์จึงมีรายละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5)แล้ว โจทก์ไม่จำต้องระบุอ้างถึงประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวรวมทั้งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจำเลยได้ทราบประกาศดังกล่าวแล้วด้วยไม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามความใน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2539 และประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไปประกาศข้างต้นจึงมีผลบังคับเช่นกฎหมาย ทั้งจำเลยไม่อาจแก้ตัวได้ว่า จำเลยไม่ทราบประกาศนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องยาเสพติดไม่จำเป็นต้องอ้างประกาศกระทรวงสาธารณสุข หากคำฟ้องระบุชัดเจนว่าเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมี เมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 ตามกฎหมายจำนวน1,030 เม็ด น้ำหนัก 95.736 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้17.041 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายโดยขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไป 2 เม็ด แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 160 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตรงตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่งย่อมมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆ เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และจำเลยได้ทราบว่าเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โจทก์ยังบรรยายฟ้องต่อท้ายข้อความที่ว่า "ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1" ด้วยข้อความว่า "ตามกฎหมาย" อันเป็นการกล่าวย้ำ ข้อความที่กล่าวมาก่อน คำฟ้องโจทก์จึงมีรายละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว โจทก์ไม่จำต้องระบุอ้างถึงประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวรวมทั้งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจำเลยได้ทราบประกาศดังกล่าวแล้วด้วยไม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135(พ.ศ. 2539)เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2539 และประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศข้างต้นจึงมีผลบังคับเช่นกฎหมาย ทั้งจำเลยไม่อาจแก้ตัวได้ว่า จำเลยไม่ทราบประกาศนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6413/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เปลี่ยนแปลงสถานะยาจากวัตถุออกฤทธิ์เป็นยาเสพติดให้โทษต่อความผิดตามกฎหมายจราจร
ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "วัตถุออกฤทธิ์ หมายความว่าวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา" ฉะนั้นวัตถุสิ่งใดหรือวัตถุออกฤทธิ์ใดจะเป็นวัตถุออกฤทธิ์ตามกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ต้องเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเป็นข้อสำคัญ ดังนี้ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ ฉบับที่ 97(พ.ศ. 2539)ให้ยกเลิกประกาศฉบับต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวยาบางประเภทโดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีนและแอมเฟตามีนเสียแล้วและตามบัญชีท้ายประกาศก็มิได้ระบุว่ายาทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวเป็นวัตถุออกฤทธิ์ แต่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 135(พ.ศ. 2539) และบัญชีท้ายประกาศ ข้อกำหนดดังกล่าวย่อมมีผลไปถึงกฎหมายฉบับอื่นที่ได้ระบุไว้เป็นการทั่ว ๆ ไปของคำว่า วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไปด้วยในตัวการที่จำเลยขับรถยนต์ในขณะเสพเมทแอมเฟตามีน จึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง,157 ทวิ วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2935/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเสพและมีครองยาเสพติด: แยกกระทงความผิดได้ และการใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
ความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1(เฮโรอีน)และประเภท 5(กัญชา) ไว้ในครอบครอง (ตามมาตรา 67 และ 76)เป็นความผิดคนละบทมาตรากับความผิดฐานเสพยาเสพติดดังกล่าว (ตามมาตรา 91 และ 92) อีกทั้งเจตนาของการกระทำก็คนละอย่าง ต่างหากจากกันโดยมีไว้ในครอบครองตอนหนึ่งและการเสพอีก ตอนหนึ่งย่อมเป็นความผิดต่างกระทงอย่างชัดแจ้ง ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวเลยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 92(พ.ศ. 2538) คงอ้างถึงแต่เฉพาะประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 51(พ.ศ. 2531)กับการมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนของจำเลยจำนวน0.08 กรัม โดยไม่ได้กล่าวถึงการคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินปริมาณ 0.500 กรัม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดไว้ด้วย ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 106 ทวิ ซึ่งโจทก์ ก็มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานดังกล่าวแต่อย่างใดกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยเพื่อใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณจำเลยคงมีความผิดเฉพาะตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาทฯ มาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง จำเลยได้กระทำความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองซึ่งเฮโรอีนและกัญชาอันเป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรง กับวัตถุออกฤทธิ์ กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรรอการลงโทษจำคุก ให้แก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 29/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีและเสพเมทแอมเฟตามีนเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด และผลกระทบของประกาศกระทรวงสาธารณสุขต่อการพิจารณาคดี
ความผิดฐานมีและเสพเมทแอมเฟตามีนเป็นการกระทำที่แยกได้จึงเป็นความผิดหลายกรรม ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)กำหนดการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งเมทแอมเฟตามีนต้องไม่เกิน0.500กรัมเมื่อไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางน้ำหนัก1.26กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ปริมาณเกินกว่าที่กำหนดหรือไม่จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯมาตรา106ทวิเพราะประกาศดังกล่าวเป็นคุณแก่จำเลยและศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่2ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี จำเลยที่1มีอายุเพียง18ปี2เดือนกำลังศึกษาอยู่และเคยมีความประพฤติดีมีภาระต้องช่วยเหลือครอบครัวไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนและเมทแอมเฟตามีนที่มีไว้ในครอบครองมีเพียง18เม็ดน้ำหนัก1.26กรัมสมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษแต่กำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติและลงโทษปรับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2695/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เปลี่ยนแปลงในคดีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และการลงโทษความผิดฐานครอบครองเพื่อขาย
ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่85(พ.ศ.2536)เรื่องกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1หรือประเภท2ซึ่งเป็นกฎหมายที่ประกาศใช้อยู่ในขณะกระทำผิดกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์เมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา106ทวิน้ำหนักไม่เกิน0.500กรัมแต่ต่อมาภายหลังได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)เรื่องกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1หรือประเภท2ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่85(พ.ศ.2536)ดังกล่าวแล้วกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ตามมาตรา106ทวิน้ำหนักซึ่งได้คำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วไม่เกิน0.500กรัมประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่85(พ.ศ.2536)เป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดจึงต้องใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)ในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา3 โจทก์มิได้นำสืบว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีน้ำหนักซึ่งได้คำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วมีปริมาณเท่าใดเกิน0.500กรัมตามที่รัฐมนตรีกำหนดหรือไม่จึงไม่อาจฟังลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา106ทวิได้การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา62วรรคหนึ่ง,106วรรคหนึ่งเท่านั้น ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)ไม่มีผลถึงความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ไว้ในครอบครองเพื่อขายตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา13ทวิวรรคหนึ่ง,89เพราะความผิดฐานนี้ไม่ได้กำหนดปริมาณของวัตถุออกฤทธิ์อันจะเป็นความผิดไว้และเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา89ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา106วรรคหนึ่งซึ่งเป็นบททั่วไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8231/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปริมาณเมทแอมเฟตามีนตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและการมีผลต่อความผิดฐานครอบครองวัตถุออกฤทธิ์
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีการัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)เรื่องกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1หรือประเภท2ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่85(พ.ศ.2536)เรื่องกำหนดปริมาณมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1หรือประเภท2ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518ลงวันที่19มกราคม2536และกำหนดการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1หรือประเภท2เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วสำหรับเมทแอมเฟตามีนต้องไม่เกินปริมาณ0.500กรัมเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าวัตถุของกลางรวมน้ำหนัก0.840กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ปริมาณเกินกว่าที่รัฐมนตรีกำหนดหรือไม่จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา106ทวิเพราะประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)เป็นคุณแก่จำเลยทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3327/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาเรื่องประกาศกระทรวงสาธารณสุขและข้อจำกัดในการยกเหตุใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชาโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพโดยมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ทราบถึงประกาศของกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใดที่จำเลยฎีกาว่า ไม่ปรากฏว่ากระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จริงหรือไม่ และจำเลยไม่สามารถทราบประกาศดังกล่าวได้นั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย