คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ประพฤติตนไม่เรียบร้อย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 39 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1715/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: การข่มขู่พยานในบริเวณศาล ถือเป็นความผิดฐานประพฤติตนไม่เรียบร้อย แม้ไม่มีข้อกำหนดจากศาล
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 30 เป็นเรื่องที่ศาลจะออกข้อกำหนดใดแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือบุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลในการพิจารณาคดี เป็นความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล และศาลจะออกข้อกำหนดก่อนโดยห้ามมิให้ผู้ใดก่อความรำคาญหรือประวิงคดี ขัดขวางการพิจารณาคดีของศาลหากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามถือว่าบุคคลนั้นมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล แต่ความผิดมาตรา 31 (1) ฐานประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดในตัวศาลไม่ต้องออกข้อกำหนดก่อน และไม่จำต้องกระทำต่อหน้าศาล หากมีการกระทำภายในบริเวณศาลก็ถือว่าประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเพียงพอที่จะถือได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 33 (1) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12413/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: การเรียกรับเงินนอกศาลเพื่อวิ่งเต้นล้มคดี ไม่ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
หลังจากผู้ร้องเรียนได้รับการปล่อยชั่วคราวแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาเรียกและรับเงินจากผู้ร้องเรียนจำนวน 120,000 บาท โดยอ้างว่าจะนำไปใช้วิ่งเต้นล้มคดีกับพนักงานอัยการและผู้พิพากษา แต่การเรียกและรับเงินนั้นได้กระทำที่บ้านของผู้ร้องเรียนและที่บ้านของผู้ถูกกล่าวหาซึ่งอยู่ห่างไกลจากศาลชั้นต้นมาก ไม่มีผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล หรือเป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้กระบวนพิจารณาของศาลดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมและรวดเร็วส่วนกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหามาศาลกับผู้ร้องเรียนทุกนัดนั้นเป็นเพราะผู้ถูกกล่าวหามีภาระหน้าที่ในฐานะผู้รับมอบฉันทะจากนายประกัน ให้นำตัวผู้ร้องเรียนส่งศาลตามสัญญาขอปล่อยชั่วคราว และการพูดกับผู้ร้องเรียนว่าไม่ต้องกลัวถึงอย่างไรก็ไม่ติดคุกสามารถวิ่งเต้นได้อยู่แล้วนั้น ก็เป็นแต่เพียงการปลอบใจผู้ร้องเรียนให้คลายวิตกกังวลในผลคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเกี่ยวโยงเป็นกรรมเดียวกับการเรียกการรับเงินจำนวนดังกล่าวที่เกิดขึ้นนอกบริเวณศาล ดังนั้นแม้การหลอกลวงเรียกรับเงินว่าจะนำไปวิ่งเต้นล้มคดีกับพนักงานอัยการและผู้พิพากษาจะเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาร้ายแรง กระทบต่อชื่อเสียงเกียรติคุณของสถาบันในกระบวนการยุติธรรม สมควรที่จะลงโทษให้หลาบจำมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป แต่เมื่อการกระทำความผิดดังกล่าวเกิดขึ้นนอกบริเวณศาล กรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 31 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4498/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: การปลอมเอกสารคำสั่งศาลต้องเกิดขึ้นในบริเวณศาลจึงจะถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อย
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นในการปลอมเอกสารสำเนาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ตั้งให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย แต่การปลอมสำเนาคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในบริเวณศาล แม้จะมุ่งหมายให้เกิดผลเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นคำสั่งของศาลที่แท้จริง แต่ก็ยังไม่อาจนำลำพังความมุ่งหมายให้เกิดผลดังกล่าวมาถือเป็นข้อชี้ขาดว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1),33 จึงไม่อาจลงโทษผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ฐานละเมิดอำนาจศาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานตำรวจรับเงินค่าปรับแทนศาลแล้วไม่นำชำระ เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อย ละเมิดอำนาจศาล
ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาและจำเลยไม่มีหน้าที่รับเงินค่าปรับจากจำเลยมาชำระต่อศาล การที่ผู้ถูกกล่าวหารับเงินค่าปรับจากจำเลยแทนศาล เป็นการไม่ถูกต้องตามระเบียบวิธีปฏิบัติ เมื่อผู้ถูกกล่าวหาไม่นำเงินไปชำระต่อศาลไม่ว่าจะทุจริตหรือไม่ เมื่อเป็นเหตุให้ศาลไม่ได้รับค่าปรับ ไม่มีการส่งหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาและไม่มีการส่งตัว ส. จำเลยไปกักขังแทนค่าปรับที่สถานีตำรวจ จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)
ส่วนกรณีที่ไม่มีการส่งหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาและตัว ป. จำเลยไปกักขังที่สถานีตำรวจ เพราะมีการปล่อยตัว ป. ไปก่อนแล้ว และมีผู้เอาหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาไปด้วย ผู้ถูกกล่าวหาเป็นแต่เพียงผู้รับหมายกักขังมาจากเจ้าหน้าที่ศาลเท่านั้นแต่มิได้เอาหมายกักขังไป และมิได้เป็นคนรับเงินค่าปรับและปล่อยตัว ป. ไป ยังไม่ถึงขนาดเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลจึงไม่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานตำรวจรับเงินค่าปรับแทนศาลและละเลยการส่งตัวผู้ต้องหา เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยละเมิดอำนาจศาล
การที่ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาและจำเลยไม่มีหน้าที่รับเงินค่าปรับจากจำเลยมาชำระต่อศาล แต่มารับเงินค่าปรับจากจำเลยเองแทนศาลเช่นนี้ เป็นการไม่ถูกต้องตามระเบียบวิธีปฏิบัติ และจะเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้โดยง่าย เมื่อผู้ถูกกล่าวหาไม่นำเงินไปชำระต่อศาลเป็นเหตุให้ศาลไม่ได้รับค่าปรับไม่มีการส่งหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาและไม่มีการส่งตัว ส. ไปกักขังแทนค่าปรับที่สถานีตำรวจฯ จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) และการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อราชการและศาลชั้นต้น จึงไม่รอการลงโทษ
ส่วนกรณีที่ไม่มีการส่งหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาและตัว ป. ไปกักขังที่สถานีตำรวจฯ เพราะมีการปล่อยตัว ป. ไปก่อนแล้ว และมีผู้เอาหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาไปด้วย ผู้ถูกกล่าวหาเป็นแต่เพียงผู้รับหมายกักขังดังกล่าวมาจากเจ้าหน้าที่ศาลเท่านั้น แต่มิได้เอาหมายกักขังดังกล่าวไป และมิได้เป็นคนรับเงินค่าปรับและปล่อยตัว ป. ไป การกระทำของผู้ถูกกล่าวหากรณี ป. ยังไม่ถึงขนาดเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล จึงไม่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7920/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสับเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล
แม้การสับเปลี่ยนผู้ต้องหาในคดีนี้จะกระทำในชั้นสอบสวนก่อนมีการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นเหตุขัดขวางมิให้การดำเนินคดีในศาลเป็นไปโดยเที่ยงธรรมและถูกต้อง เพราะทำให้มีการดำเนินคดีอาญาในศาลต่อบุคคลผู้บริสุทธิ์โดยผู้กระทำความผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษ การที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคบคิดกันจัดให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน โดยมีเจตนาให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ซึ่งไม่ได้กระทำความผิดอาญาถูกดำเนินคดีในศาลแทนนาย อ. และเพื่อให้นาย อ. รอดพ้นจากการถูกลงโทษในความผิดที่ได้กระทำ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองย่อมก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในศาล อันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แล้ว เมื่อความปรากฏแก่ศาลตามคำแถลงของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองกระทำความผิดดังกล่าว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งลงโทษได้ทันทีโดยไม่จำต้องทำการไต่สวนข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงตัวเป็นนายประกันปลอมเพื่อหลอกลวงศาล เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยและก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม
การที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงตัวเป็น อ. นายประกันของจำเลยและลงลายมือชื่อในคำร้องขอประกันตัวต่อซึ่งเป็นลายมือชื่อปลอมเป็นการหลอกลวงศาลว่ามีการประกันตัวต่อโดยชอบ ถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) และมาตรา 33พฤติการณ์ดังกล่าวมีลักษณะร้ายแรงเป็นภัยต่อกระบวนการยุติธรรมอันเป็นช่องทางให้จำเลยหลบหนีได้ หากศาลตรวจไม่พบการกระทำผิดของผู้ถูกกล่าวหาเสียก่อน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการศาลเป็นอย่างมาก แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะรับราชการครูและยังมีหน้าที่ต้องอุปการะผู้อื่น ก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7-8/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยมิชอบ ถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ละเมิดอำนาจศาล แม้ผู้กระทำไม่ใช่คู่ความ
แม้การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาจะกระทำตั้งแต่ในชั้นสอบสวนก่อนดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล แต่ในที่สุดก็จะต้องมีการดำเนินคดีในศาลเป็นการต่อเนื่องกันไป การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยมิชอบดังกล่าวย่อมเป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษ ทำให้กระบวนพิจารณาในศาลไม่อาจดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมได้ ต้องถือว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
การกระทำที่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ ได้แก่การขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลตามมาตรา 30 อันว่าด้วยการรักษาความสงบเรียบร้อยประการหนึ่งกับการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอีกประการหนึ่ง เฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลเท่านั้นที่จะต้องเป็นคู่ความหรือบุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ส่วนการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลนั้นหาได้มีข้อจำกัดดังกล่าวไม่ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 ได้ แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะมิใช่คู่ความและมิได้อยู่ต่อหน้าศาลก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือญาติในคดีอาญาโดยสุจริต ไม่เข้าข่ายประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
ผู้ถูกกล่าวหาไปพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่บ้านพักเพื่อขอร้องให้ช่วยปล่อยชั่วคราว พ.หรือรอการลงโทษแก่ พ.เพื่อต้องการช่วยเหลือ พ.ซึ่งเป็นหลานโดยสุจริตใจตามสมควรแก่กรณี และผู้ถูกกล่าวหามิได้เสนอผลประโยชน์เป็นเงินแก่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล เมื่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลปฏิเสธและแนะนำให้ไปปรึกษาทนายความ ผู้ถูกกล่าวหาก็กลับไปโดยดี ทั้งผู้ถูกกล่าวหามิได้กล่าวรับรองต่อ พ.หรือผู้ใดว่าศาลจะให้ปล่อยชั่วคราว พ.หรือตัดสินรอการลงโทษให้แก่ พ.เช่นนี้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงมิใช่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 31 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือญาติในคดีอาญาโดยไม่มีเจตนาเรียกรับผลประโยชน์ ไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
การที่ผู้ถูกกล่าวหาไปพบผู้พิพากษา หัวหน้า ศาลชั้นต้นที่บ้านพักเพื่อขอร้องให้ช่วยปล่อยชั่วคราวหรือรอการลงโทษเพื่อต้องการช่วยเหลือ พ. ซึ่งเป็นหลานโดยไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เสนอผลประโยชน์เป็นเงินแก่ ผู้พิพากษาหัวหน้า ศาลชั้นต้นแต่อย่างใด และเมื่อ ผู้พิพากษาหัวหน้า ศาลชั้นต้นปฏิเสธและแนะนำให้ไปปรึกษาทนายความ ผู้ถูกกล่าวหาก็กลับไปโดยดี ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหา ได้กล่าวรับรองต่อ พ. ว่าศาลชั้นต้นจะให้ปล่อยชั่วคราวหรือตัดสินรอการลงโทษให้แต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นในชั้นฎีกา พ. ยังได้ทำบันทึกด้วยลายมือของตนเองยืนยันว่าตนไม่เคยให้เงินแก่ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อให้ช่วยวิ่งเต้นคดีแต่อย่างใด ผู้ถูกกล่าวหาได้ช่วยเหลือโดยสุจริตใจเพราะเป็นญาติกัน โดยมีศักดิ์ เป็นอาและด้วยความสงสารลูกของ พ. จึงเห็นได้ว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหานั้นกระทำไปโดยสุจริตด้วยเจตนา ที่จะช่วยเหลือ พ. ซึ่งเป็นญาติกันตามสมควร ทั้งไม่ปรากฏว่าได้เรียกร้องหรือรับผลประโยชน์ เป็นเงินตอบแทนแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)
of 4