พบผลลัพธ์ทั้งหมด 24 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษจำคุกซ้ำ และการไม่รอการลงโทษในคดียาเสพติด พิจารณาจากประวัติโทษและการกระทำผิดซ้ำ
การยกโทษจำคุกตาม ป.อ. มาตรา 55 เป็นดุลพินิจแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร เพียงแต่โทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดต้องเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน โดยไม่คำนึงว่าจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ และผู้นั้นจะเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนหรือไม่ก็ตาม
จำเลยเคยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมาก่อน และมากระทำความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก แสดงว่าจำเลยมิได้เข็ดหลาบและมิได้เกรงกลัวต่อโทษตามกฎหมาย ศาลจึงไม่ยกโทษจำคุกให้จำเลย
จำเลยเคยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมาก่อน และมากระทำความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก แสดงว่าจำเลยมิได้เข็ดหลาบและมิได้เกรงกลัวต่อโทษตามกฎหมาย ศาลจึงไม่ยกโทษจำคุกให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5089/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษจำคุกซ้ำและการไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน เนื่องจากประวัติเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2536 ก่อนคดีนี้ จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 20 ปี ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะ เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4881/2536 ของศาลชั้นต้น ปัจจุบันจำเลยอยู่ในระหว่างการพักการลงโทษและจะพ้นโทษและพ้นจากการพักการลงโทษในวันที่ 22 กรกฎาคม 2547 อันเป็นวันภายหลังวันที่ 10 กันยายน 2539 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ พ.ร.บ. ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 จะมีผลบังคับใช้กับจำเลยได้ จำเลยจึงไม่ได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยยังคงเป็นผู้ที่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่ศาลฎีกาจะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2413/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในคดีซ้ำ จำเลยต้องรับโทษเดิมด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 12 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1570/2544 ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2544 ซึ่งมิใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และจำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ ขอศาลได้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายด้วย คำขอท้ายคำฟ้องได้ระบุมาตรา 97 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ไว้ด้วย ชั้นพิจารณาจำเลยยื่นคำให้การรับสารภาพตลอดข้อหาและศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์จำเลยลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าว ดังนั้น คำให้การจำเลยที่รับสารภาพจึงย่อมหมายรวมถึงการรับว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนตามที่โจทก์กล่าวหาในคำฟ้องตลอดจนรับตามบทบัญญัติที่ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามคำขอท้ายฟ้องด้วย ฉะนั้น เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จึงต้องเพิ่มโทษที่จะลงแก่จำเลยอีกกึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5248/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงการยอมรับประวัติโทษจำคุกเดิม ศาลบวกโทษเดิมได้
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2079/2542 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายในกำหนดระยะเวลารอการลงโทษดังกล่าวจำเลยกระทำความผิดคดีนี้อีก เมื่อศาลชั้นต้นอ่านอธิบายฟ้องทั้งหมดให้จำเลยฟัง จำเลยก็ได้ให้การว่า "ได้ทราบคำฟ้องตลอดแล้ว ข้าพเจ้าจำเลยขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง" คำให้การจำเลยที่รับสารภาพตามฟ้องดังกล่าวจึงย่อมหมายรวมถึงการรับว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนตามที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องด้วย ศาลชั้นต้นจึงนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้คดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3314/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 56 ต้องไม่เคยมีประวัติโทษจำคุก
ตาม ป.อ.มาตรา 56 ศาลจะรอการลงโทษได้ต่อเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน ซึ่งหมายความว่าไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษาโดยไม่จำต้องเป็นการกระทำความผิดมาก่อนคดีเรื่องหลัง
ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ จำเลยได้กระทำความผิดและมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษให้แก่จำเลยในคดีนี้ได้
ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ จำเลยได้กระทำความผิดและมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษให้แก่จำเลยในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกักกันผู้กระทำผิดซ้ำฐานลักทรัพย์: เกณฑ์การพิจารณาตามประวัติโทษและการกระทำความผิดต่อเนื่อง
จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกฐานรับของโจร ครั้งที่สองฐานลักทรัพย์ เมื่อจำเลยพ้นโทษครั้งที่ 2 ไปแล้วภายในเวลา 10 ปี จำเลยกลับมากระทำผิดฐานลักทรัพย์ จนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเกินกว่า 6 เดือนอีก ความผิดของจำเลยเหล่านี้ ก็เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งอยู่ในประเภทเดียวกันกับที่ระบุไว้ในมาตรา 41(8) ทั้งสิ้น จึงเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะให้กักกันได้
จำเลยทำการลักทรัพย์ 2 ราย ในเวลาห่างกันราว 1 เดือน ทั้งเป็นความผิดที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราของมาตรา 335 ตั้งแต่ 2 อนุมาตราขึ้นไป คือ (1)(7)(11) ดังนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย สมควรที่ให้กักกันจำเลย
จำเลยทำการลักทรัพย์ 2 ราย ในเวลาห่างกันราว 1 เดือน ทั้งเป็นความผิดที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราของมาตรา 335 ตั้งแต่ 2 อนุมาตราขึ้นไป คือ (1)(7)(11) ดังนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย สมควรที่ให้กักกันจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยในคดีชิงทรัพย์และพยายามฆ่า โดยพิจารณาจากประวัติเคยต้องโทษปล้นทรัพย์และบทบัญญัติมาตรา 92-93
จำเลยเคยต้องโทษจำคุกฐานปล้นทรัพย์ แม้จะเป็นกรณีมีการใช้กำลังประทุษร้ายต่อร่างกายรวมอยู่ด้วย อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ก็ตาม หากในคดีหลังแม้ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามมาตรา 339 และผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 อันเป็นความผิดต่อชีวิตก็ตาม ดังนี้ จะเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 93 ไม่ได้ต้องเพิ่มโทษตามมาตรา 92 แม้โจทก์จะขอเพิ่มโทษตามมาตรา 93 ซึ่งเป็นบทหนักมาก็ตาม ศาลก็มีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 92 ซึ่งเป็นบทเบากว่าได้ ไม่เกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1515/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยจากประวัติโทษเดิม: ศาลแก้ไขโทษตามกฎหมายใหม่และพระราชบัญญัติล้างมลทิน
จำเลยบางคนฎีกา ปรากฏว่าจำเลยที่ไม่ฎีกาไม่ควรถูกเพิ่มโทษ เพราะกฎหมายใหม่เป็นคุณแก่จำเลย และมีพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ แล้ว ศาลฎีกาก็แก้ให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษอาญา: หลักการพิจารณาโทษอาญาซ้ำจากประวัติโทษเดิมต้องชัดเจนและมีหลักฐานสนับสนุน
เกี่ยวกับฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยนั้นอัยการโจทก์บรรยายว่า " ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องโทษทำร้ายร่างกาย ถูกศาลจังหวัดชุมพรพิพากษาจำคุก 10 วัน ปรับ 25 บาท คดีหมายเลขแดงที่ 347/2495 จำเลยพ้นโทษยังไม่ครบ 5 ปี กลับมากระทำผิดในคดีนี้อีก หาเข็ดหลาบไม่ขอให้ศาลเพิ่มโทษตาม ม.72 อีกโสดหนึ่งด้วย
ศาลสอบจำเลย ๆ รับว่าเคยต้องโทษตามฟ้องโจทก์เป็นความจริง
และจำเลยเบิกความตามคำซักค้านของโจทก์ว่า "ข้าพเจ้าจำเลยเคยต้องโทษของศาลฐานทำร้ายร่างกายนายเปรื่องมีบาดเจ็บ"
ดังนี้ข้อเพิ่มโทษ ตามที่บรรยายในฟ้องของโจทก์ ๆ ระบุเพียงว่าจำเลยเคยต้องโทษฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่ง ก.ม.อาญา ระบุไว้ในส่วนที่ 7 หมวดที่ 2 ซึ่งกินความถึงความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ โดยเจตนา บาดเจ็บสาหัสโดยเจตนา บาดเจ็บโดยเจตนาและประมาทก็มี ระบุเป็นหัวข้อเรื่องละหุโทษตาม ม.338 ก็มีจึงไม่แน่ว่าตามที่โจทก์บรรยายมานั้นอยู่ในความผิดส่วนไหน เพราะอัตราโทษครั้งก่อนที่จำเลยรับโทษจำคุก 17 วันปรับ 25 บาท นั้นก็เบามีลักษณะเป็นได้ทั้งเจตนา ประมาท และลหุโทษ
จึงอาศัยแต่เพียงคำรับของจำเลยดังกล่าวมาเพิ่มโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ ข้อเพิ่มโทษจึงต้องยกเสีย
อ้างฎีกาที่ 366/2499
ศาลสอบจำเลย ๆ รับว่าเคยต้องโทษตามฟ้องโจทก์เป็นความจริง
และจำเลยเบิกความตามคำซักค้านของโจทก์ว่า "ข้าพเจ้าจำเลยเคยต้องโทษของศาลฐานทำร้ายร่างกายนายเปรื่องมีบาดเจ็บ"
ดังนี้ข้อเพิ่มโทษ ตามที่บรรยายในฟ้องของโจทก์ ๆ ระบุเพียงว่าจำเลยเคยต้องโทษฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่ง ก.ม.อาญา ระบุไว้ในส่วนที่ 7 หมวดที่ 2 ซึ่งกินความถึงความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ โดยเจตนา บาดเจ็บสาหัสโดยเจตนา บาดเจ็บโดยเจตนาและประมาทก็มี ระบุเป็นหัวข้อเรื่องละหุโทษตาม ม.338 ก็มีจึงไม่แน่ว่าตามที่โจทก์บรรยายมานั้นอยู่ในความผิดส่วนไหน เพราะอัตราโทษครั้งก่อนที่จำเลยรับโทษจำคุก 17 วันปรับ 25 บาท นั้นก็เบามีลักษณะเป็นได้ทั้งเจตนา ประมาท และลหุโทษ
จึงอาศัยแต่เพียงคำรับของจำเลยดังกล่าวมาเพิ่มโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ ข้อเพิ่มโทษจึงต้องยกเสีย
อ้างฎีกาที่ 366/2499
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำผิดซ้ำ โดยพิจารณาจากประวัติโทษและมาตรา 72 แทนมาตรา 74
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายหลายบทหลายกะทง ตามคำบรรยายฟ้องเกี่ยวกับขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบนั้น กล่าวว่าจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษมาแล้วตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง พ้นโทษครั้งหลังมายังไม่เกิน 5 ปี ก็กลับมากระทำผิดในคดีนี้อีก ย่อมหมายความถึงความผิดทุกกะทง แม้โจทก์จะอ้างมาตรา 74 เมื่อศาลเห็นว่าความผิดกะทงใดเพิ่มโทษตามมาตรา 74 ไม่ได้ ก็ชอบที่จะเพิ่มตามมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทเบากว่าได้.