พบผลลัพธ์ทั้งหมด 10 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3307/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง และขอบเขตการอุทธรณ์/ฎีกาในประเด็นที่ยุติแล้ว
เดิมจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ซึ่งมีโจทก์ที่ 1 เป็นโจทก์ร่วมด้วย ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ อ.ถึงแก่ความตายคดีถึงที่สุด การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท ส่วนจำเลยที่ 2,3 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญา คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2,3 ฉะนั้นเมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2,3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาท จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2,3 หรือไม่ โจทก์ไม่อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 ประมาทหรือไม่ ประเด็นนี้จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2,3 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะรับวินิจฉัยและโจทก์ย่อมฎีกาต่อมาอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1575/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาเรื่องฟ้องเคลือบคลุม, การยกประเด็นนอกฟ้อง, และประเด็นยุติในชั้นอุทธรณ์
ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจะยกขึ้นฎีกาหาได้ไม่
โจทก์จำเลยนำชี้ที่พิพาทและต่างก็รับรองแผนที่พิพาทว่าถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่ดินนอกฟ้อง ดังนี้ที่ดินที่โจทก์หาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกก็คือที่พิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท มิใช่พิพาทในที่แปลงอื่น จึงไม่ใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ครั้งแรกศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้อง ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามประเด็นที่กำหนดไว้ จำเลยไม่ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ก็มิได้พิพากษาในประเด็นข้อนี้ ประเด็นเรื่องอายุความเอาคืนซึ่งการครอบครองจึงยุติ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้
โจทก์จำเลยนำชี้ที่พิพาทและต่างก็รับรองแผนที่พิพาทว่าถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่ดินนอกฟ้อง ดังนี้ที่ดินที่โจทก์หาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกก็คือที่พิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท มิใช่พิพาทในที่แปลงอื่น จึงไม่ใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ครั้งแรกศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้อง ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามประเด็นที่กำหนดไว้ จำเลยไม่ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ก็มิได้พิพากษาในประเด็นข้อนี้ ประเด็นเรื่องอายุความเอาคืนซึ่งการครอบครองจึงยุติ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1575/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกาเรื่องฟ้องเคลือบคลุม ประเด็นนอกฟ้อง และประเด็นยุติ
ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจะยกขึ้นฎีกาหาได้ไม่
โจทก์จำเลยนำชี้ที่พิพาทและต่างก็รับรองแผนที่พิพาทว่าถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่ดินนอกฟ้อง ดังนี้ที่ดินที่โจทก์หาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกก็คือที่พิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท มิใช่พิพาทในที่แปลงอื่น จึงไม่ใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ครั้งแรกศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามประเด็นที่กำหนดไว้ จำเลยไม่ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ก็มิได้พิพากษาในประเด็นข้อนี้ประเด็นเรื่องอายุความเอาคืนซึ่งการครอบครองจึงยุติ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้
โจทก์จำเลยนำชี้ที่พิพาทและต่างก็รับรองแผนที่พิพาทว่าถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่ดินนอกฟ้อง ดังนี้ที่ดินที่โจทก์หาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกก็คือที่พิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท มิใช่พิพาทในที่แปลงอื่น จึงไม่ใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ครั้งแรกศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามประเด็นที่กำหนดไว้ จำเลยไม่ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ก็มิได้พิพากษาในประเด็นข้อนี้ประเด็นเรื่องอายุความเอาคืนซึ่งการครอบครองจึงยุติ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 409/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาที่ไม่สามารถรื้อฟื้นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วได้ และจำเลยร่วมไม่มีสิทธิฎีกาในประเด็นค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรับผิดแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่ดินโฉนดที่ 1174 ของบุตรจำเลย จำเลยมิได้ทำละเมิด และค่าเสียหายไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดินนอกโฉนดที่1174 และเป็นที่ดินของ ก. เมื่อ ก. ตายแล้วฝ่ายโจทก์ครอบครองตลอดมา จำเลยเพิ่งโต้แย้งการครอบครองไม่ถีง 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครอง โจทก์เป็นทายาทคนหนึ่งของ ก. จึงมีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ดังนี้ เมื่อจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้ฎีกา ประเด็นที่ว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ 1174 ของจำเลยหรือไม่ โจทก์ขาดสิทธิครอบครองและมีอำนาจฟ้องหรือไม่จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์เสียหายจริงแล้ว จำเลยคงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านในประเด็นเรื่องละเมิดและค่าเสียหายเท่านั้นจะรื้อฟื้นประเด็นที่ยุติไปแล้วเป็นข้ออุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีกหาได้ไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแต่ผู้เดียว มิได้ให้จำเลยร่วมต้องรับผิดด้วย จำเลยร่วมจะฎีกาในประเด็นเรื่องค่าเสียหายด้วยหาได้ไม่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแต่ผู้เดียว มิได้ให้จำเลยร่วมต้องรับผิดด้วย จำเลยร่วมจะฎีกาในประเด็นเรื่องค่าเสียหายด้วยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาพ้นกำหนดและไม่อนุญาตอ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเนื่องจากประเด็นยุติแล้ว
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2507 กำหนดระยะเวลา 1 เดือนสำหรับการยื่นฎีกา เริ่มนับหนึ่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2507 ครบ 1 เดือนในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2507 แต่วันที่ 28, 29 พฤศจิกายน 2507 ตรงกับวันหยุดราชการ โจทก์จึงยื่นฎีกาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2507 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำงานใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายโดยได้จดทะเบียนสมรส นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้ และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายโดยได้จดทะเบียนสมรส นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้ และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ใบมอบอำนาจ, การรับข้อเท็จจริง, ประเด็นยุติ, การยกข้อกล่าวหาไม่ทันเวลา
กรมมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ใบมอบอำนาจไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 121
ใบมอบอำนาจท้ายฟ้อง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง
จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีสำเนาใบมอบอำนาจติดท้ายฟ้องส่งให้แก่จำเลย ปรากฏว่า เมื่อจำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วได้ดำเนินคดีเรื่อยมา เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี 2 วัน เกินกำหนดเวลากฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีผลประการใด
เมื่อจำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ขับรถยนต์แฉลบลงข้างทางตามฟ้องโจทก์ ข้อเท็จจริงก็รับฟังเป็นยุติจากคำฟ้องโจทก์คำให้การจำเลย แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2504 (ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้ วันที่ 6 มกราคม 2504) ก็ไม่เป็นเหตุถึงกับทำให้ศาลยกฟ้องโจทก์
ข้อเท็จจริงที่ว่า กรมอนามัยได้ใช้ราคารถยนต์ให้แก่องค์การยูนิเซฟแล้วหรือไม่ จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ใบมอบอำนาจท้ายฟ้อง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง
จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีสำเนาใบมอบอำนาจติดท้ายฟ้องส่งให้แก่จำเลย ปรากฏว่า เมื่อจำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วได้ดำเนินคดีเรื่อยมา เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี 2 วัน เกินกำหนดเวลากฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีผลประการใด
เมื่อจำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ขับรถยนต์แฉลบลงข้างทางตามฟ้องโจทก์ ข้อเท็จจริงก็รับฟังเป็นยุติจากคำฟ้องโจทก์คำให้การจำเลย แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2504 (ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้ วันที่ 6 มกราคม 2504) ก็ไม่เป็นเหตุถึงกับทำให้ศาลยกฟ้องโจทก์
ข้อเท็จจริงที่ว่า กรมอนามัยได้ใช้ราคารถยนต์ให้แก่องค์การยูนิเซฟแล้วหรือไม่ จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ใบมอบอำนาจ, การรับข้อเท็จจริง, ประเด็นยุติ, ข้อกล่าวอ้างใหม่ในชั้นฎีกา
กรมมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ใบมอบอำนาจไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 121
ใบมอบอำนาจท้ายฟ้อง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง
จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีสำเนาใบมอบอำนาจติดท้ายฟ้องส่งให้แก่จำเลย ปรากฏว่าเมื่อจำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วได้ดำเนินคดีเรื่อยมา เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี 2 วัน เกินกำหนดเวลากฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีผลประการใด
เมื่อจำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ขับรถยนต์แฉลบลงข้างทางตามฟ้องโจทก์ ข้อเท็จจริงก็รับฟังเป็นยุติจากคำฟ้องโจทก์คำให้การจำเลย แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2504 (ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้ วันที่ 6 มกราคม 2504) ก็ไม่เป็นเหตุถึงกับทำให้ศาลยกฟ้องโจทก์
ข้อเท็จจริงที่ว่า กรมอนามัยได้ใช้ราคารถยนต์ให้แก่องค์การยูนิเซฟแล้วหรือไม่ จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ใบมอบอำนาจท้ายฟ้อง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง
จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีสำเนาใบมอบอำนาจติดท้ายฟ้องส่งให้แก่จำเลย ปรากฏว่าเมื่อจำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วได้ดำเนินคดีเรื่อยมา เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี 2 วัน เกินกำหนดเวลากฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีผลประการใด
เมื่อจำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ขับรถยนต์แฉลบลงข้างทางตามฟ้องโจทก์ ข้อเท็จจริงก็รับฟังเป็นยุติจากคำฟ้องโจทก์คำให้การจำเลย แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2504 (ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้ วันที่ 6 มกราคม 2504) ก็ไม่เป็นเหตุถึงกับทำให้ศาลยกฟ้องโจทก์
ข้อเท็จจริงที่ว่า กรมอนามัยได้ใช้ราคารถยนต์ให้แก่องค์การยูนิเซฟแล้วหรือไม่ จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1925/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีหมิ่นประมาท การถอนฟ้องเฉพาะบางข้อหา และการฟ้องซ้ำในประเด็นที่ยุติแล้ว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่นประมาทใส่ความอธิบดีกรมอัยการขอให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 282,116 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 282 และลงโทษปรับจำเลย จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่มีความผิดตาม มาตรา 282 ฝ่ายโจทก์ไม่อุทธรณ์มาตรา 116 จึงถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้น ไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ในชั้นอุทธรณ์คงมีประเด็นว่าจำเลยจะมีความผิดตาม มาตรา 282 หรือไม่มาตราเดียวเท่านั้น แม้ศาลอุทธรณ์จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบพยานตามที่แถลงไว้และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความและศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นที่เข้าใจว่าให้ดำเนินการเกี่ยวแก่ มาตรา 282 มาตราเดียวเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและระหว่างพิจารณาจำเลยได้ขออภัยต่อผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ติดใจว่ากล่าวเอาความแก่จำเลย โจทก์จึงแถลงขอถอนฟ้องเฉพาะข้อหาในฐานหมิ่นประมาทใส่ความตาม มาตรา 282 แต่โจทก์ย้อนหวนมาเอาความแก่จำเลยตาม มาตรา 116 ซึ่งไม่มีประเด็นอีกนั้นไม่ได้เพราะประเด็นตาม มาตรา 116 ได้ยุติในศาลชั้นต้นตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง หากจำเลยไม่ปฏิเสธหรือต่อสู้ ถือเป็นประเด็นที่ยุติแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องมาชัดเจนแล้ว แต่จำเลยมิได้ปฏิเสธหรือต่อสู้เป็นอย่างอื่น ก็ต้องถือว่าจำเลยรับตามนั้น คดีไม่มีประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7693/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่โต้แย้งประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ ทำให้ประเด็นนั้นยุติ และการนับอายุความตามกำหนดเวลา
คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ทำการงานและซื้อสินค้าจากโจทก์ ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ไว้แล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโจทก์ เนื่องจากเห็นว่าคดีขาดอายุความโดยจำเลยที่ 1 ไม่ต้องอุทธรณ์ในประเด็นข้ออื่นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเป็นคุณแก่โจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่า คดีไม่ขาดอายุความ หากจำเลยที่ 1 ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายแพ้ในประเด็นข้อใด อย่างไร จำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ด้วย แต่ปรากฏว่าคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 คงกล่าวแก้เฉพาะแต่ประเด็นเรื่องอายุความที่โจทก์อุทธรณ์เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249