คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ป.วิ.พ. มาตรา 148

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5606/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่ และการไม่วินิจฉัยประเด็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลมีอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยอาศัยยอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ซึ่งผนวกหนี้นอกเหนือความรับผิดของจำเลยที่ 2 เข้าไว้ด้วยและคิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมา ทำให้ไม่อาจหยั่งทราบได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใด แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความนั้น เป็นการใช้อำนาจตามป.วิ.พ. มาตรา 148(3) แม้จำเลยที่ 2 จะให้การต่อสู้เรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไว้ แต่เมื่อศาลเห็นว่าจะต้องยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุอื่นแล้วย่อมมีอำนาจที่จะไม่วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยและแม้จะวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ก็ถือว่าศาลยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีที่ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่เพียงใด โจทก์ย่อมจะนำคดีมาฟ้องเพื่อให้ศาลชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวได้ ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ คำพิพากษาศาลชั้นต้นหาขัดต่อ ป.วิ.พ.มาตรา 141(4)(5),142 และ 148 ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแบ่งสินสมรสซ้ำหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ถือเป็นการฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. ม.148
โจทก์จำเลยเคยมีคดีฟ้องร้องพิพาทกันเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้แบ่งสินสมรสตามที่คู่ความตกลงประนีประนอมยอมความกัน และคดีถึงที่สุดไปแล้วการที่โจทก์กลับมาฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยอีก ไม่ว่าทรัพย์ในคดีนี้จะเป็นทรัพย์รายเดียวกันกับคดีก่อนหรือต่างรายกัน ก็ยังเป็นการฟ้องร้องในประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอยู่นั่นเอง จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. ม.148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 เมื่อประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนและคดีหลังมีมูลฐานและข้ออ้างอย่างเดียวกัน
ก่อนหน้าคดีนี้ จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์กับพวกกระทำผิดสัญญาหุ้นส่วนและไม่แบ่งปันผลกำไรขอให้ใช้เงินคืน ซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือโจทก์กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำฟาร์มเลี้ยงกบด้วยกันและจำเลยไม่คืนเงินลงทุนและแบ่งกำไรให้โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 661/2547 คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่า จำเลยจงใจและใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้โจทก์ต้องรับภาระในการลงทุนที่หนักกว่าที่โจทก์จะยอมรับโดยปกติ โดยโจทก์จะต้องออกเงินลงทุนในการเลี้ยงกบไปถึง 131,377 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินคืนโจทก์จำนวนครึ่งหนึ่ง แม้ข้อหาที่จำเลยฟ้องโจทก์ในคดีก่อนจะเป็นเรื่องผิดสัญญาหุ้นส่วนและขอให้ใช้เงินคืน และข้อหาในคดีนี้โจทก์เปลี่ยนแปลงรูปคดีใหม่เป็นเรื่องกลฉ้อฉลก็ตาม แต่แท้ที่จริงประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยก็สืบเนื่องมาจากมูลฐานและข้ออ้างอย่างเดียวกันคือ โจทก์และจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำฟาร์มเลี้ยงกบกันหรือไม่ และเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกมาก็เป็นเงินลงหุ้นตามสัญญาหุ้นส่วนที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า โจทก์และจำเลยได้ร่วมกันลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงกบตามส่วนที่ลงหุ้น อันเป็นการวินิจฉัยชี้ชาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว เมื่อคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์มารื้อร้องฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148