คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้กู้ร่วม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร, การนำสืบหลักฐาน, สัญญาเงินกู้, ความรับผิดของผู้กู้ร่วม, การฟังข้อเท็จจริงตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้รวม 3 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 50,000 บาท40,000 บาท และ 110,000 บาท ตามลำดับ รวมแล้วเป็นเงินต้น200,000 บาท จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์เพียง 100,000 บาท และจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินกู้ครบตามสัญญาเพราะโจทก์หักดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า 6,000 บาทเป็นคำให้การปฏิเสธที่ไม่ชัดแจ้ง จึงไม่มีข้อต่อสู้ที่จำเลยที่ 3 จะนำสืบว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ การที่จำเลยที่ 3นำสืบว่าได้รับเงินจริงจากโจทก์เพียง 94,000 บาทจึงนำสืบไม่ได้ คำฟ้องของโจทก์ระบุชัดว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ทั้ง 3 ฉบับ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญากู้แต่ละฉบับในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะนำสืบว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันไม่ได้เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ศาลจะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3เป็นผู้ค้ำประกันไม่ได้เพราะเป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และแม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้จะต้องห้ามมิให้ฎีกา แต่เมื่อมีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยนำสืบว่าได้รับเงินจากโจทก์เพียงบางส่วน และจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 หรือไม่ ศาลฎีกาก็มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงที่ชอบด้วยกฎหมายเสียใหม่โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธข้อกล่าวหาเป็นผู้กู้ร่วม และการนำสืบพยานบุคคลเพื่อพิสูจน์สถานะในสัญญา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าไม่เคยกู้เงินโจทก์ เซ็นชื่อในหนังสือสัญญากู้ในฐานะเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 เท่านั้น คำให้การดังกล่าวเท่ากับปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะเป็นผู้กู้ร่วม กับจำเลยที่ 1 คดีจึงมีประเด็นตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ศาล จะต้องพิจารณาให้ได้ความต่อไป ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานเป็นการไม่ถูกต้อง
เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 2 ลงชื่อในเอกสารสัญญากู้ ในฐานะเป็นผู้กู้ร่วมกับจำเลยที่1 หรือลงชื่อในฐานะเป็นภริยาผู้ให้ความยินยอม การนำสืบในประเด็นตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการต้องห้ามมิให้ นำสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 790/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมเป็นผู้กู้ร่วม แม้เดิมตั้งใจเป็นผู้ค้ำประกัน ย่อมมีผลผูกพันตามสัญญา
แม้ในชั้นต้นจำเลยที่ 1 ตั้งใจเพียงจะเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2-3 ก็ดี แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ด้วย จำเลยที่ 1 ก็ยินยอมและได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ร่วมกับจำเลยที่ 2-3 แล้ว ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 ได้สละความตั้งใจเดิมและยอมเป็นผู้กู้ร่วมกับจำเลยที่ 2-3 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในฐานเป็นผู้กู้ร่วมกับจำเลยที่ 2-3 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 790/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมเป็นผู้กู้ร่วม แม้เดิมทีตั้งใจเป็นผู้ค้ำประกัน ย่อมมีผลผูกพันตามสัญญา
แม้ในชั้นต้นจำเลยที่ 1 ตั้งใจเพียงจะเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2-3 ก็ดี แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ด้วย จำเลยที่ 1 ก็ยินยอมและได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ร่วมกับจำเลยที่ 2-3 แล้ว ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 ได้สละความตั้งใจเดิมและยอมเป็นผู้กู้ร่วมกับจำเลยที่ 2-3 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในฐานเป็นผู้กู้ร่วมกับจำเลยที่ 2-3 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดใช้หนี้หากพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ไม่ใช่ผู้กู้ร่วม
เดิมเจ้าหนี้ฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์จำเลย ซึ่งปรากฏตามหนังสือสัญญากู้ว่าเป็นผู้กู้ร่วมกับศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยร่วมกันรับผิดใช้เงินกู้รายนี้โจทก์ใช้เงินไปผู้เดียวทั้งหมด แล้วมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยครึ่งหนึ่ง ดังนี้ จำเลยย่อมต่อสู้ได้ว่า ความจริงจำเลยเป็นแต่ผู้ค้ำประกันมิใช่เป็นผู้กู้ร่วมกับโจทก์ ๆ หามีสิทธิเรียกให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้ไม่