พบผลลัพธ์ทั้งหมด 18 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9876/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องกับคดียาเสพติด: ข้อสันนิษฐานทางกฎหมายและภาระการพิสูจน์ของผู้ถูกกล่าวหา
ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 29 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า? ถ้าปรากฏหลักฐานว่าจำเลยหรือผู้ถูกตรวจสอบเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาเงินหรือทรัพย์สินที่ผู้นั้นมีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริตเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น เมื่อผู้คัดค้านถูกฟ้องเป็นจำเลยและถูกลงโทษในข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน ทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ผู้ร้องขอให้ริบย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ผู้คัดค้านจึงมีภาระการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวตามมาตรา 29 (1) (2) ว่า ทรัพย์สินของผู้คัดค้านนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือได้ทรัพย์สินมาโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8973/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีละเมิดอำนาจศาลเนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาถึงแก่ความตาย
ขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในการพิจารณาคดีอาญา ผู้ถูกกล่าวหาถึงแก่ความตาย กรณีถือได้ว่าเป็นเรื่องความมรณะของผู้ถูกกล่าวหา ยังให้คดีไม่มีประโยชน์ต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (3) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต้องแสดงข้อหาชัดเจนและระบุรายละเอียดการกระทำผิดเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจได้
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯมาตรา 79 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม คำร้องที่ผู้ร้องขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่จึงอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ด้วยเมื่อมิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่คะแนนและกรรมการตรวจคะแนนผู้ใดประจำหน่วยเลือกตั้งหน่วยใดกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายโดยอ่านบัตรเลือกตั้งให้ผิดไปจากความจริงหรืออ่านบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้ผู้ร้องแต่อ่านเป็นให้ส. รวมทั้งบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้ผู้ร้องแต่อ่านให้เป็นบัตรเสียมีจำนวนเท่าใด คะแนนเลือกตั้งที่กรอกในใบรายงานไม่ตรงกับคะแนนเลือกตั้งในกระดานดำและหีบบัตรเลือกตั้งเป็นจำนวนเท่าใด มีการนำบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง ของผู้ที่ไม่ได้มาใช้สิทธิมาใช้ลงคะแนนเลือกตั้งเป็นจำนวนเท่าใด รวมทั้งนำบัตรเลือกตั้งที่เสียมานับเป็นคะแนนเลือกตั้งของ ส. จำนวนเท่าใด และเหตุเกิดที่หน่วยเลือกตั้งใดบ้าง คำร้องจึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาพอที่จะให้ผู้คัดค้านทั้งสามเข้าใจได้ดีเป็นคำร้องเคลือบคลุม การเปิดหีบบัตรเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนเลือกตั้งใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีร้องคัดค้านว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่เมื่อคำร้องของผู้ร้องคัดค้านว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบนั้นเคลือบคลุมแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะมีคำสั่งให้เปิดหีบบัตรเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนเลือกตั้งใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การลงข้อความเชื่อมโยงถึงการทุจริต ย่อมทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนรู้เห็น
จำเลยเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณาและเจ้าของหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์จำหน่ายแพร่หลายแก่บุคคลทั่วไปในเขตจังหวัดอุบลราชธานีและเป็นเจ้าของนามปากกาว่า "ขุนช้าง"จำเลยได้ลงข่าวเกี่ยวกับโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานีมีข้อความว่า "ชอบใจที่พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ ร.ม.ต. มหาดไทย กล่าวว่า ทำไมผู้กำกับจึงมาร้องตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่เรื่องมีมานาน ขุนช้างว่า คงพึ่งคิดวิธีทำอาญาให้เป็นแพ่งได้กระมังจริงไหมครับพ.ต.อ.นิยม ไกรลาศ" อัน เป็นข้อความเกี่ยวโยง กับกรณีกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่การเงินกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ร่วมยักยอกเงินของทางราชการจำนวนหลายล้านบาท ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปที่ได้อ่านข้อความที่จำเลยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวเข้าใจว่าโจทก์ร่วมรู้เห็นในการทุจริตยักยอกเงินของทางราชการ ข้อความที่จำเลยลงโฆษณานอกจากจำเลยอ้างถึงข้อความที่พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ กล่าวแล้ว จำเลยไม่ได้อ้างถึงข้อความจริงอันใดให้จำเลยแสดงความคิดเห็นเช่นนั้นทั้งผู้ได้อ่านก็ไม่ได้รู้ถึงความจริงอันควรเชื่อหรือไม่ว่าเป็นดังจำเลยกล่าว แต่จำเลยยืนยันข้อเท็จจริงให้ผู้อ่านหนังสือพิมพ์เชื่อว่าโจทก์ร่วมรู้เห็นในการทุจริต จึงไม่ใช่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ทั้งไม่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตตาม ป.อ. มาตรา 329 ข้อความที่จำเลยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวจึงเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 328 และเมื่อเป็นความผิดตามมาตรานี้แล้วก็ไม่ต้องยกมาตรา326 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีแจ้งความเท็จ: ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่า ม. กับพวกร่วมกันบุกรุกที่ดินของจำเลย ความจริงเป็นที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่ง จึงเห็นได้ว่าผู้เสียหายในคดีที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จคือ ม. หาใช่โจทก์ไม่ และความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์อาจแพ้คดีแพ่งตามผลคดีอาญาที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จก็ได้นั้น ก็ไม่ใช่ความเสียหายที่ทำให้โจทก์กลายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแจ้งความเท็จ: ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่า ม. กับพวกร่วมกันบุกรุกที่ดินของจำเลย ความจริงเป็นที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่ง จึงเห็นได้ว่าผู้เสียหายในคดีที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จคือ ม. หาใช่โจทก์ไม่ และความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์อาจแพ้คดีแพ่งตามผลคดีอาญาที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จก็ได้นั้น ก็ไม่ใช่ความเสียหายที่ทำให้โจทก์กลายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจข่มขืนใจเรียกรับเงินจากผู้ถูกกล่าวหา เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่สืบสวนและจับกุม ผู้กระทำความผิดแกล้งกล่าวหาพ.และก.ว่ากระทำผิดอาญาได้มีการ แจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้แล้วซึ่งไม่เป็นความจริงขอจับกุมพ. และก.ส่งพนักงานสอบสวนถ้าไม่อยากให้จับกุมต้องเอาเงินให้ จำเลยทั้งสองพ.และก.เกรงกลัวยอมมอบเงินให้ตามที่เรียกร้องเป็นการ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนได้ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพ และชื่อเสียงของผู้ถูกขู่เข็ญจึงเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดฐานกรรโชกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189
ท.ถูกฟ้องว่าฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ครั้นเมื่อศาลนัดฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ท.หลบหนี ศาลออกหมายจับ ท. จำเลยให้พำนักและซ่อนเร้น ท. และบอก ท. ให้รู้ตัวเมื่อตำรวจมาตามจับ จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 เพราะตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ต้องถือว่า ท. ไม่ใช่ผู้กระทำผิดในข้อหาฆ่าผู้อื่น และการที่ศาลออกหมายจับนั้น ก็เพื่อให้ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่เพราะกระทำผิดฐานหลบหนีไม่ไปศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ไม่ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189
ท. ถูกฟ้องว่าฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ครั้นเมื่อศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ท.หลบหนี ศาลออกหมายจับ ท.จำเลยให้พำนักและซ่อนเร้น ท. และบอก ท.ให้รู้ตัวเมื่อตำรวจมาตามจับจำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 เพราะตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ต้องถือว่า ท. ไม่ใช่ผู้กระทำผิดในข้อหาฆ่าผู้อื่นและการที่ศาลออกหมายจับนั้นก็เพื่อให้ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่เพราะกระทำผิดฐานหลบหนีไม่ไปศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา และหน้าที่การนำสืบพยาน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 หน้าที่นำสืบพิสูจน์ย่อมตกอยู่แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด