พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 936/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและการครอบครองปรปักษ์: จำเลยไม่ต้องรับผิดละเมิดหากไม่ได้เป็นผู้สร้างสิ่งรุกล้ำ และไม่ขอให้ศาลตัดสินเรื่องการครอบครองปรปักษ์
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้สร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่กลับนำสืบว่าว. เป็นผู้สร้างกันสาดนั้นในขณะที่ดินยังเป็นของส. และโจทก์เพิ่งซื้อที่ดินดังกล่าวในภายหลังจึงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งจำเลยรับโอนอาคารในสภาพที่มีกันสาดรุกล้ำที่ดินอยู่ก่อนแล้วจำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ตามคำฟ้องฎีกาจำเลยจะยกเหตุผลกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองที่ดินส่วนที่กันสาดรุกล้ำเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วแต่คำขอของจำเลยในคำฟ้องฎีกาไม่ได้ขอให้พิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์คงมีคำขอเพียงว่าให้พิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้นศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยเพราะหากพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวย่อมจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบมาตรา246และมาตรา247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน: แม้สร้างเพื่อสาธารณประโยชน์ ก็ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้สร้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมรุ เผาศพเป็นของโจทก์สร้างไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ให้ประชาชนใช้เผาศพร่วมกัน การบรรยายฟ้องดังกล่าวชี้ ให้เห็นว่าเมรุ เผาศพของโจทก์ใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง ไม่ว่าโจทก์จะใช้ทำประโยชน์ส่วนตัวหรือให้ประชาชนใช้ร่วมกันก็ยังคงเป็นของโจทก์อยู่นั่นเอง ดังนี้โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องตามนัยแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) ประกอบมาตรา 28(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1669/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในเรือนสร้างบนที่ดินเช่า: แม้ปลูกบนที่ดินเช่า แต่กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้สร้าง
สามีจำเลยกับจำเลยปลูกร้านในที่ดินที่เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินฯ โจทก์ขอเช่าจากจำเลย ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์รื้อร้าน แล้วปลูกเรือน 2 ชั้นขึ้นตรงที่ปลูกร้านนั้นเป็นบ้านพักของโจทก์ พร้อมกับปลูกเรือนชั้นเดียวติดกับเรือน 2 ชั้น โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ดังนี้ เรือน 2 ชั้นกับเรือนพิพาทต้องถือว่าเป็นของโจทก์ตั้งแต่โจทก์ปลูก เหตุที่ปลูกในที่ดินที่จำเลยเช่า ก็ไม่ทำให้เรือนตกเป็นของจำเลย แม้เอกสารยกบ้านให้โจทก์จะไม่มีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในเรือนพิพาทให้โจทก์ ก็หากระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ในเรือนพิพาทไม่ หนังสือสัญญาเช่าร้านเดิมที่โจทก์ทำไว้กับจำเลยย่อมสิ้นผลไป เพราะร้านอันเป็นวัตถุแห่งการเช่าไม่มีอยู่
ใบเสร็จรับเงินระบุว่าเป็นค่าเช่าบ้าน โจทก์ย่อมนำสืบความจริงได้ว่าเป็นค่าเช่าที่ดิน โดยไม่ต้องมีหลักฐานการเช่าที่ดินมาแสดง เพราะโจทก์มิได้นำสืบเพื่อขอให้บังคับตามสัญญาเช่าที่ดินโดยตรง
ใบเสร็จรับเงินระบุว่าเป็นค่าเช่าบ้าน โจทก์ย่อมนำสืบความจริงได้ว่าเป็นค่าเช่าที่ดิน โดยไม่ต้องมีหลักฐานการเช่าที่ดินมาแสดง เพราะโจทก์มิได้นำสืบเพื่อขอให้บังคับตามสัญญาเช่าที่ดินโดยตรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5473/2561
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้จำหน่ายดีวีดีที่ไม่ใช่ผู้สร้างภาพยนตร์ ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ หากไม่ได้นำภาพยนตร์ไปตรวจพิจารณา
พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 25 เป็นบทบัญญัติในหมวด 3 การประกอบกิจการภาพยนตร์ ซึ่งต่อเนื่องมาจากมาตรา 20 ถึงมาตรา 24 ที่บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์และผู้สร้างภาพยนตร์ มาตรา 26 ถึงมาตรา 29 บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ตามมาตรา 25 ของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ และบทกำหนดโทษตามมาตรา 78 ดังกล่าวมุ่งประสงค์เอาความผิดแก่ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 25 ซึ่งหมายความเฉพาะผู้สร้างภาพยนตร์ที่นำภาพยนตร์นั้นออกฉาย ให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร โดยมิได้นำไปผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ก่อนเท่านั้น มิใช่บทบัญญัติที่ประสงค์จะเอาความผิดแก่ผู้ประกอบกิจการจำหน่ายภาพยนตร์ทั่วไปที่มิใช่ผู้สร้างภาพยนตร์ เมื่อฟ้องโจทก์ปรากฏชัดแจ้งว่า จำเลยเป็นเพียงผู้ประกอบกิจการจำหน่ายแผ่นดีวีดีภาพยนตร์ที่ไม่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยจำเลยมิใช่ผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีหน้าที่จะต้องนำภาพยนตร์นั้นไปผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 25 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยตามฟ้องย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 78
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2561)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2561)