พบผลลัพธ์ทั้งหมด 72 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองแทนผู้อื่นไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
คดีนี้ผู้ร้องร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านที่ 1 คัดค้านว่าที่ดินพิพาทมีบางส่วนเป็นของผู้คัดค้านที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าที่ดินที่ผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์นั้นเป็นของผู้คัดค้านที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์บางส่วนหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่า ผู้คัดค้านที่ 1 อยู่ในที่ดินในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น จึงพิพากษายกคำร้องของผู้คัดค้านที่ 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทอื่น ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้นเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงชอบแล้ว
ผู้ร้องอนุญาตให้ผู้คัดค้านที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทเพราะเห็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีที่ดินอยู่อาศัย และในขณะอาศัยอยู่ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้แสดงออกหรือมีการบอกกล่าวเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทต่อผู้ร้องว่าจะยึดถือเพื่อตนเองแต่อย่างใด การครอบครองที่ดินพิพาทของผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้ร้องเท่านั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 1 จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
ผู้ร้องอนุญาตให้ผู้คัดค้านที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทเพราะเห็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีที่ดินอยู่อาศัย และในขณะอาศัยอยู่ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้แสดงออกหรือมีการบอกกล่าวเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทต่อผู้ร้องว่าจะยึดถือเพื่อตนเองแต่อย่างใด การครอบครองที่ดินพิพาทของผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้ร้องเท่านั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 1 จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6276/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและการกระทำชำเราผู้เยาว์ ศาลแก้เป็นความผิดตามมาตรา 283 ทวิ
พฤติการณ์ของผู้เสียหายและจำเลยส่อแสดงว่าผู้เสียหายยินยอมไปกับจำเลยและร่วมประเวณีกันยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคหนึ่ง แต่ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 15 ปีเศษ เมื่อจำเลยพาผู้เสียหายไปและร่วมประเวณีกับผู้เสียหายเช่นนี้ จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีโทษหนักกว่า แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยพาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคหนึ่ง ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีโทษหนักกว่า แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยพาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคหนึ่ง ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1911/2546 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองพื้นที่ป่าสงวนฯ เพื่อผู้อื่น จำเลยเพียงรับจ้างใส่ปุ๋ย ไม่ถือว่าครอบครองเพื่อผู้อื่น
การที่จำเลยรับจ้างบุคคลอื่นใส่ปุ๋ยต้นยางพาราที่ปลูกอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ครอบครองพื้นที่ดังกล่าวเพื่อผู้อื่นด้วย ถือไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองสวนยางพาราพื้นที่เกิดเหตุโดยยึดถือเอาไว้เพื่อผู้อื่น ตามความหมายของมาตรา 54 แห่ง พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 หรือ มาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิด กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 72 ตรี วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และ มาตรา 31 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ที่จะสั่งให้จำเลย คนงานผู้รับจ้างผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุตามที่โจทก์ขอได้
เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิด กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 72 ตรี วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และ มาตรา 31 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ที่จะสั่งให้จำเลย คนงานผู้รับจ้างผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุตามที่โจทก์ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2832/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้ผลเกิดกับผู้อื่น ก็ถือเป็นความผิดฐานฆ่าโดยเจตนา
จำเลยได้นำน้ำส้มผสมยาฆ่าแมลงไปถวายพระภิกษุผู้เสียหาย โดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้จำเลยจะมีเจตนา ฆ่าเฉพาะผู้เสียหาย แต่เมื่อผลแห่งการกระทำเกิดขึ้นแก่ ผู้ตายโดยพลาดไปก็ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 ด้วย จำเลยมีความผิดตามมาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 60
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเอาเอกสารของผู้อื่นไป ทำให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของและผู้อื่น เป็นความผิดตามกฎหมาย
การที่จำเลยเอาบัญชีรายชื่อหัวหน้าครอบครัวชุมชน อ.ที่ประชาชนในชุมชน อ.ได้รวบรวมขึ้นและมอบไว้แก่ผู้เสียหายไปจากผู้เสียหายหลังจากผู้เสียหาย จำเลยและ อ.ได้เจรจากันเกี่ยวกับเรื่องประชาชนจะปลดจำเลยออกจากประธานกรรมการชุมชน อ. เป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่สามารถนำเอกสารดังกล่าวไปยื่นต่อผู้อำนวยการเขต ป.ได้ เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเอาเอกสารผู้อื่นไปเสีย เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยไม่มีเหตุอันสมควร และการทำร้ายผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 1 นายเกื้อกับพวกไม่พอใจที่จำเลยที่ 2 กับสามีไปต่อว่านายเกื้อที่ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาในซอยแล้วจำเลยที่ 1 พาพวกไปทำร้ายจำเลยที่ 2 เหตุที่จำเลยที่ 2 กับสามีด่าว่านายเกื้อไม่ใช่เป็นเหตุที่ไม่เป็นธรรมอันเกิดแก่จำเลยที่ 1 และเมื่อโจทก์ร่วมมารดาของจำเลยที่ 2 ร้องห้ามปรามจำเลยที่ 1 กลับใช้ไม้ตีโจทก์ร่วมจนสลบ ทั้งที่โจทก์ร่วมมิได้เกี่ยวข้องด้วยเลยการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยผู้อื่นกระทำเอง จำเลยไม่มีส่วนร่วม
จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยมี บ. และ ว. นั่งซ้อนท้ายผ่านบริเวณที่ผู้ตายกับพวกนั่งอยู่ พวกผู้ตายตะโกนให้ของลับพวกจำเลย จำเลยจึงขับรถย้อนกลับมาจอดใกล้บริเวณที่ผู้ตายกับพวกนั่งอยู่บ. ลงจากรถแล้วตรงเข้าใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายในลักษณะฉับพลันทันที แล้ว บ. กับ ว. วิ่งหนีไปคนละทางซึ่งในขณะนั้นจำเลยยังนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่และดับเครื่องยนต์ไว้ ไม่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยกับฝ่ายผู้ตายเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน การที่ บ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการตัดสินใจของบ. เอง ในขณะเกิดเหตุ เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกฝ่ายผู้ตายให้ของลับพฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับ บ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเพลิงเผาบ้านตนเอง ไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น ไม่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220
เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าการที่จำเลยวางเพลิงเผาบ้านของตนเองน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 วรรคแรกการกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 220 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่วมกับผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยกับพวกปรึกษากันก่อนที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหาย เมื่อพวกของจำเลยใช้สุราสาดหน้าผู้ตาย จำเลยก็เข้าทำร้ายผู้ตายทันที เมื่อผู้ตายวิ่งหนี พวกของจำเลยก็ไล่ติดตามไปรุมทำร้ายต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกันพวกของจำเลยก็แบ่งแยกกันทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกันไปด้วย มีลักษณะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อน หลังจากทำร้ายแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกันถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหาย
เหตุวิวาทเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกของจำเลยคนใดพกอาวุธติดตัวมาด้วย ทั้งไม่ปรากฎว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่วิวาทก็เพียงแต่เพราะถูกผู้ตายขว้างแก้วใส่ ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงชกหน้าผู้ตาย 1 ที มิได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เพราะถูกพวกของจำเลยใช้มีดแทงและทำร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด
เหตุวิวาทเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกของจำเลยคนใดพกอาวุธติดตัวมาด้วย ทั้งไม่ปรากฎว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่วิวาทก็เพียงแต่เพราะถูกผู้ตายขว้างแก้วใส่ ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงชกหน้าผู้ตาย 1 ที มิได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เพราะถูกพวกของจำเลยใช้มีดแทงและทำร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4749/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานค้ามนุษย์: เจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น vs. ของตนเอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ปรากฏว่าจำเลยกับนาย ส.กับพวกอีกคนหนึ่งนำรถยนต์ไปรอดักฉุดผู้เสียหายขณะผู้เสียหายออกจากหอพักเพื่อจะไปซื้อของ และเมื่อขึ้นไปบนรถแล้วนาย ส.ใช้อาวุธปืนขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายร้อง และได้พาไปกักขังไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง ถือได้ว่าจำเลยกับนาย ส.เป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วยกัน แม้การพาผู้เสียหายไปนั้นเพื่อสำเร็จความใคร่ของนาย ส. และเพื่อการอนาจารผู้เสียหายก็ตาม การกระทำของจำเลยก็หาเป็นความผิดตามมาตรา 283 ตามฟ้องไม่ เพราะความผิดตามมาตรา 283 นั้น ต้องเป็นกรณีที่เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ถ้าเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้กระทำนั้นเอง หรือร่วมกันกระทำเพื่อผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทำด้วยกันแล้วก็หาเป็นความผิดตามมาตรานี้ไม่ เมื่อจำเลยและนาย ส.กับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของนาย ส.ไม่ได้ร่วมกันพาไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นใด จึงจะแยกการกระทำที่ประกอบร่วมกันนี้ให้ตกเป็นความผิดแก่จำเลยว่าพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นไม่ใช่ของตนหาได้ไม่