พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2020/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากคำเบิกความพยานผู้เสียหาย และการไม่ริบของกลางที่เจ้าของมิได้มีส่วนร่วม
มีดของกลางเป็นมีดสำหรับใช้ทำครัวภายในบ้านของผู้เสียหาย แม้จะเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ศาลไม่อาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 วรรคสองต้องคืนแก่เจ้าของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7551/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากการเบิกความของพยานผู้เสียหาย และพยานหลักฐานสนับสนุน
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 1 นาฬิกา การที่จะมีพยานอื่นร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยคงเป็นไปได้ยาก ผู้เสียหายที่ 1 เป็นคนขับรถยนต์แท็กซี่รับจ้างน่าจะต้องมีความระมัดระวังในการรับผู้โดยสารในยามวิกาลเป็นพิเศษ ขณะรถของผู้เสียหายที่ 1 ติดไฟสัญญาณจราจรอยู่ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าจากตึกบริเวณนั้นและใต้ทางด่วนสามารถมองเห็นได้ จำเลยทั้งสองเดินเข้ามาที่รถ ผู้เสียหายที่ 1 ย่อมมีโอกาสเห็นรูปร่างหน้าตาของจำเลยทั้งสองได้ชัดเจน เมื่อจำเลยทั้งสองขึ้นรถแล้ว จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายที่ 1 หลายครั้ง โดยบอกให้ไปส่งที่โรงเรียนดุสิต ขณะที่รถแล่นไปถึงกลางซอยระนอง 2 จำเลยที่ 1 บอกให้หยุดรถจากนั้นก็บอกให้เลื่อนรถไปอีก 2 ถึง 3 เมตร และขณะที่จำเลยทั้งสองจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็บอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ส่งกระเป๋าสตางค์ให้และเป็นคนปลดเข็มขัดนิรภัยพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดประตูรถด้านตรงข้ามและผลักตัวผู้เสียหายที่ 1 ตกลงจากรถก่อนที่จะขับรถหลบหนีไป ระยะเวลาตั้งแต่ผู้เสียหายที่ 1 เห็นจำเลยทั้งสองเดินมาขึ้นรถจนกระทั่งหลบหนีไป ผู้เสียหายที่ 1ได้มีโอกาสเห็นรูปร่างหน้าตาและใกล้ชิดจำเลยทั้งสองเป็นเวลานาน แม้จำเลยที่ 2จะนั่งอยู่ทางด้านหลัง แต่ก็อยู่ในวิสัยที่ผู้เสียหายที่ 1 สามารถสังเกตเห็นรูปร่างหน้าตาจำเลยที่ 2 ได้ หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยืนยันต่อพนักงานสอบสวนว่าจำคนร้ายทั้งสองได้ โดยบอกว่าคนร้ายที่เป็นชายไว้ผมยาว ส่วนคนร้ายที่เป็นหญิงรูปร่างผอมสูง ประกอบกับการได้ตัวจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดีก็เพราะจำเลยทั้งสองถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันใช้มีดจี้ชิงทรัพย์คนขับรถยนต์แท๊กซี่ในท้องที่ของสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ในเวลาประมาณ 3 นาฬิกา พฤติการณ์แห่งคดีมีรายละเอียดคล้ายคลึงกับคนร้ายจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 ระยะเวลาเกิดเหตุใกล้เคียงกัน เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ชี้ตัวก็ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งจับกุมจำเลยทั้งสองได้และมีการชี้ตัวห่างกันเพียง 2 วันจึงไม่มีข้อน่าสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 1 จะจำตัวคนร้ายผิดพลาด แม้ผู้เสียหายที่ 1 จะเบิกความว่าคนร้ายทั้งสองแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลักษณะอย่างไร สีอะไรจำไม่ได้ก็มิได้เป็นข้อพิรุธแต่ประการใดเพราะเหตุเกิดเวลากลางคืนและจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีลักษณะและสีสันให้เป็นที่น่าสังเกตผิดปกติธรรมดาทั่วไป พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7522/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีวิ่งราวทรัพย์โดยอาศัยพยานหลักฐานแน่นหนา ทั้งพยานผู้เสียหายและพยานตำรวจยืนยันตัวผู้กระทำผิด
เหตุเกิดในเวลากลางวัน ผู้เสียหายเห็นจำเลยชัดเจนในระยะใกล้ชิดขณะจำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้ามาเทียบ และขับรถไล่ตามรถจำเลยไปในระยะไม่ห่างระหว่างนั้นมีโอกาสเห็นหน้าจำเลยหลายครั้งขณะจำเลยเลี้ยวรถกลับและขับออกมาจากกองร้อย ทั้งยังได้จดจำลักษณะการแต่งกายและหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของจำเลยไว้ด้วยว่าจำเลยใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมเสื้อแจ็กเกตสีเทาทับไว้ นุ่งกางเกงขายาวสีกรมท่าคล้ายนักเรียนช่างกล สวมหมวกกลมมีหัวจุกตรงกลางแต่ไม่มีกะบังคล้ายหมวกชาวอิสลาม อันเป็นวิสัยของตนธรรมดาทั่วไปที่จะตั้งใจจดจำในเรื่องดังกล่าวของคนร้ายที่ได้กระทำผิดต่อตน ขณะนั้นการจราจรไม่พลุกพล่านอันจะเป็นเหตุให้ผู้เสียหายสับสนจำผิดพลาดสิบตำรวจตรี ส. ก็ยืนยันว่าผู้เสียหายได้แจ้งเหตุพร้อมกับบอกลักษณะการแต่งกายของคนร้ายและหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ไว้ด้วยจริง ทั้งยังได้ชี้ให้จับจำเลยในทันทีภายหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยพร้อมรถจักรยานยนต์ซึ่งมีหมายเลขทะเบียนตรงกับที่ผู้เสียหายแจ้งไว้ตั้งแต่แรก นอกจากนี้เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเสื้อแจ็กเกตและหมวกซ่อนไว้ข้างโต๊ะสนุกเกอร์ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำได้ตัวผู้กระทำผิดจากพยานผู้เสียหาย: การยืนยันรูปพรรณและของกลางที่ตรงกัน
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันมองเห็นกันได้ชัดเจนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านผู้เสียหายไปแล้วกลับรถมาพูดคุยกับผู้เสียหายเป็นเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะสังเกตและจำจำเลยได้เมื่อไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมตำรวจและแจ้งต่อพนักงานสอบสวนผู้เสียหายก็ยืนยันว่าจำคนร้ายได้และระบุรูปพรรณคนร้ายตลอดจนเสื้อผ้าที่คนร้ายสวมใส่โดยละเอียดก่อนจับจำเลยได้เจ้าพนักงานตำรวจนำภาพถ่ายนักโทษมาให้ผู้เสียหายดูผู้เสียหายว่าไม่ใช่คนร้ายต่อมาได้นำภาพถ่ายจำเลยในใบขับขี่รถจักรยานยนต์มาให้ดูผู้เสียหายจึงบอกว่าเป็นคนร้ายขณะตรวจค้นบ้านของจำเลยผู้เสียหายได้ชี้บอกถึงกระเป๋าสะพายผ้าร่มสีดำและเสื้อที่จำเลยสวมใส่วันเกิดเหตุตรงกับที่แจ้งความไว้แต่แรกให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางเชื่อได้ว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 994/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานจากคำรับสารภาพชั้นสอบสวน และการพิสูจน์ความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยอาศัยพยานผู้เสียหาย
ข้อที่จำเลยอ้างว่าคำให้การชั้นสอบสวนมิใช่ลายมือชื่อของจำเลยนั้น จำเลยคงปฏิเสธลอย ๆ เมื่อโจทก์นำพนักงานสอบสวนเข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ประกอบคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่โจทก์อ้าง จำเลยก็ไม่ได้ถามค้านให้เห็นว่าจำเลยไม่เคยให้การรับสารภาพ คำให้การชั้นสอบสวนที่โจทก์อ้างมิใช่ลายมือชื่อจำเลย การที่จำเลยนำสืบภายหลังว่าคำให้การชั้นสอบสวนนั้นไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยจึงเป็นการนำสืบเอาข้างเดียวไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานผู้เสียหายและสถานการณ์ขณะเกิดเหตุ
เหตุเกิดเวลาประมาณ 18 นาฬิกาของเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นฤดูร้อน เวลากลางวันยาวกว่าเวลากลางคืน เวลาดังกล่าวยังไม่มืดมีแสงสว่างมองเห็นได้ชัดเจน ทั้งรถจักรยานยนต์คนร้ายก็สวนไปมาถึง3 ครั้ง จนผู้เสียหายสังเกตได้ก่อนลงมือกระชากสร้อยคนร้ายเดินเข้าไปหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายยังเข้าใจว่าจะเดินมาถามทาง ผู้เสียหายจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าคนร้ายในระยะใกล้ เมื่อคนร้ายไปถึงตัวได้ใช้อาวุธปืนจี้พร้อมทั้งห้ามผู้เสียหายมิให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแล้วกระชากสร้อยคอไป จึงมีระยะเวลาที่ผู้เสียหายเห็นคนร้ายนานพอสมควรที่จะจำคนร้ายได้ จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 238/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีชิงทรัพย์โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของพยานผู้เสียหายและระยะเวลาระหว่างเกิดเหตุกับจับกุม
นับแต่วันเกิดเหตุชิงทรัพย์ถึงวันที่จำเลยถูกจับเป็นระยะเวลาห่างกันร่วม 8 ปี ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าคนร้ายมาก่อนเพิ่งเห็นในวันเกิดเหตุเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะจำคนร้ายได้ และผู้เสียหายก็เบิกความกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่อง กับรอย ยิ่งกว่านั้นผู้เสียหายยังเบิกความแตกต่างกับพยานอื่นเป็นข้อพิรุธ จำเลยก็ให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 358/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา: ความน่าเชื่อถือของพยานผู้เสียหายและเด็กหญิงจากความสัมพันธ์ทางญาติ
ผู้เสียหายถูกคนร้ายยิงบาดเจ็บและแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจภายหลังออกจากโรงพยาบาลแล้วว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ยิงผู้เสียหายคนหนึ่ง ก็เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้เสียหายและภริยาซึ่งร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายจึงบอกภริยาขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลว่า อย่างเพิ่งบอกความจริงต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ประกอบกับผู้เสียหายและเด็กหญิง ข. บุตรซึ่งเป็นประจักษ์พยานต่างเป็นญาติกับจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่ภริยาและเด็กหญิง ข. มิได้แจ้งความในทันทีทันใดจึงไม่เป็นข้อพิรุธ ศาลรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3065/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานผู้เสียหายที่เบิกความขัดแย้งกับคำพิพากษาคดีอื่น ย่อมทำให้การรับฟังคำเบิกความในคดีปัจจุบันไม่น่าเชื่อถือ
ผู้เสียหายถูกคนร้ายชิงทรัพย์ ผู้เสียหายเบิกความในคดีนี้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ตีศรีษะ และใช้มีดจี้ปลดทรัพย์ของผู้เสียหายระหว่างพิจารณาคดีนี้ในศาลอุทธรณ์ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม ส.กล่าวหาว่าเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ผู้เสียหายในวันเวลาเดียวกันกับคดีนี้ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้อง ส. เป็นจำเลยในข้อหาเดียวกันกับคดีนี้ ส. ให้การรับสารภาพ ผู้เสียหายเบิกความในคดีดังกล่าวว่าส. เป็นคนร้ายกระทำการเช่นเดียวกับที่เบิกความว่าจำเลยคดีนี้กระทำในขณะเดียวกัน เมื่อศาลคดีดังกล่าวฟังว่า ส. เป็นคนร้ายและพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดแล้ว ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายคดีนี้จึงฟังไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานขัดแย้ง ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยที่ 2 เหตุพยานผู้เสียหายเบิกความไม่สอดคล้องกัน
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย แต่ในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยที่ 1ก็ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย ทั้งได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพไว้ถึง 2 ครั้ง กับยังปรากฏด้วยว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ได้นำอาวุธปืนลูกซองสั้นไปฝากบุคคลอื่นไว้ อาวุธปืนกระบอกนี้เมื่อนำมาพิสูจน์เปรียบเทียบกับปลอกกระสุนปืนลูกซองที่พบในที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าเป็นปลอกกระสุนปืนที่ยิงมาจากอาวุธปืนกระบอกดังกล่าว พยานหลักฐานโจทก์จึงประกอบกันมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำความผิดดังโจทก์ฟ้อง
เมื่อคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
เมื่อคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)