พบผลลัพธ์ทั้งหมด 62 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5813/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงการจำหน่ายยาเสพติด: จำเลยต้องมีความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่ายจริง จึงจะถือว่ามีการจำหน่าย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จากนั้นได้บรรยายความผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ทำให้เข้าใจได้ว่าความผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เกิดเพราะมีการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 แล้ว แต่ในทางนำสืบของโจทก์ยังไม่พอที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 และศาลชั้นต้นเพียงพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ยกฟ้องข้อหาอื่น ซึ่งมีความหมายว่า ยกฟ้องข้อหาจำหน่าย เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ในข้อหานี้ และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ย่อมฟังเป็นยุติ แสดงว่ายังไม่อาจรับฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่จำเลยอื่นแล้วตามฟ้องโจทก์ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจึงยังอยู่กับจำเลยที่ 1 จำเลยอื่นจึงไม่อาจมีความผิดตามฟ้องโจทก์ และข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีจึงมีผลถึงจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ผู้มิได้ฎีกาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3983/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การหยุดละเมิดลิขสิทธิ์: ศาลต้องไต่สวนเพื่อความยุติธรรม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทำละเมิดสิทธิ์ต่อโจทก์ การที่จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยใช้สิทธิตามที่กฎหมายวิธีพิจารณาความตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้นมิได้หมายความว่าหลังจากใช้สิทธิตามกฎหมายดังกล่าวแล้วฝ่ายจำเลยจะต้องทำละเมิดลิขสิทธิ์ของฝ่ายโจทก์ตลอดมา เพราะฝ่ายจำเลยอาจไม่กล้าเสี่ยงที่จะดำเนินธุรกิจที่มีข้อพิพาทนี้ต่อไปหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้แล้วก็เป็นได้ ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นงดไต่สวนพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยังคงทำละเมิดต่อโจทก์ตลอดมาและได้หยุดกระทำละเมิด ณ วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้จำเลยหยุดกระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีนั้น จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่ที่ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยหยุดการทำละเมิด ณ วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาด้วยนั้นยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8801/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานจากคำเบิกความในคดีก่อนหน้าเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีอาญา และการพิจารณาเหตุบรรเทาโทษ
แม้ประจักษ์พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ในคดีนี้ คือ นาย ณ. จะเบิกความว่า จำนาย ส. ไม่ได้แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นาย ณ. ได้เคยให้การต่อพนักงานสอบสวน และได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 9326/2526 (คดีหมายเลขแดงที่ 1425/2526) ของศาลอาญา ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนาย ส. กล่าวหาว่าร่วมกับพวกที่หลบหนีใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและเป็นคดีที่มีมูลคดีเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ โดยนาย ณ. ได้เบิกความในคดีดังกล่าวว่า นาย ส. ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปถูกผู้ตาย แม้คำเบิกความของนาย ณ. ดังกล่าวจะมิใช่ถ้อยคำที่ได้เบิกความไว้ในคดีนี้ก็ตาม แต่นาย ณ. ได้เบิกความยืนยันไว้ในคดีนี้โดยรับว่าได้ให้ถ้อยคำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การ และได้เบิกความต่อศาลถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีดังกล่าวจริง ดังนั้น คำเบิกความของนาย ณ. ในคดี หมายเลขดำที่ 9326/2526 (คดีหมายเลขแดงที่ 1425/2526) ของศาลอาญา จึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้เพราะเป็นพยานหลักฐานที่โจทก์อ้างและนำสืบไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7493/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ป่วย vs. การพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางการแพทย์: กรณีเงินทดแทนจากโรคประจำตัว
แม้บุคคลจะมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 31 และที่โจทก์ไม่ยินยอมให้คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นสิทธิของโจทก์ก็ตาม แต่การที่ศาลแรงงานอ้างเหตุที่โจทก์ไม่ยอมให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจซึ่งเป็นพิรุธ มาเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักรับฟังว่าโจทก์มิได้ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบบิสซิโนซีสนั้นเป็นการรับฟังพยานหลักฐานของศาล มิใช่ศาลแรงงานปฏิเสธสิทธิที่โจทก์มีตามรัฐธรรมนูญ
พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 42 ให้อำนาจคณะกรรมการสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องส่งเอกสารมาให้ มิใช่บังคับให้คณะกรรมการมีหน้าที่ต้องสั่งเรียกเอกสารเสมอไป เมื่อโจทก์ยืนยันไม่ยอมส่งประวัติและผลการตรวจของ แพทย์หญิง อ. ให้แก่สำนักงานประกันสังคม จึงไม่มีเหตุที่คณะกรรมการจะต้องออกคำสั่งเรียกให้ส่งเอกสารก่อนการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์
พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 42 ให้อำนาจคณะกรรมการสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องส่งเอกสารมาให้ มิใช่บังคับให้คณะกรรมการมีหน้าที่ต้องสั่งเรียกเอกสารเสมอไป เมื่อโจทก์ยืนยันไม่ยอมส่งประวัติและผลการตรวจของ แพทย์หญิง อ. ให้แก่สำนักงานประกันสังคม จึงไม่มีเหตุที่คณะกรรมการจะต้องออกคำสั่งเรียกให้ส่งเอกสารก่อนการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5521/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาปลอมและการพิสูจน์ข้อเท็จจริงการกู้ยืม หากจำนวนเงินในสัญญากู้ไม่ตรงกับจำนวนเงินที่กู้จริงและผู้กู้ไม่ยินยอม
จำเลยกู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์โดยขณะกู้ยืมและขณะจำเลยลงลายมือชื่อหนังสือสัญญากู้เงินฉบับพิพาทยังไม่ได้กรอกข้อความใด ๆ ไว้เลยต่อมาโจทก์กรอกข้อความและจำนวนเงินกู้ขึ้นเองในภายหลังเป็นจำนวนเงินมากกว่าที่กู้จริงโดยจำเลยไม่รู้เห็นและยินยอม ดังนี้หนังสือสัญญากู้เงินจึงเป็นสัญญากู้ปลอม ถือได้ว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่จะฟ้องบังคับจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2257/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงการกระทำละเมิดต่อทรัพย์สิน จำเลยต้องมีพฤติการณ์ที่บ่งชี้ชัดเจน
โจทก์ซื้อบ้านและต้นกาแฟพิพาทมาจากการขายทอดตลาดของศาล ส่วนที่ดินที่ปลูกบ้านและต้นกาแฟดังกล่าวทางราชการ ออกเอกสาร สปก.4-01 เป็นชื่อของ จ. สามีนอกสมรสของจำเลยหลังจากโจทก์ซื้อบ้านและต้นกาแฟจากการขายทอดตลาดแล้ว โจทก์นำคนงานไปเก็บผลกาแฟ จำเลยและ จ. ใช้มีดพร้าไล่ฟันคนงานของโจทก์หลายครั้งแต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยและบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับต้นกาแฟของโจทก์อย่างไร เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์มีเพียงเท่านี้ จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยตัดต้นกาแฟและลักลอบเก็บผลกาแฟของโจทก์ แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การโจทก์ก็ต้องนำสืบข้อเท็จจริงให้รับฟังได้ตามฟ้อง เพราะศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะ ต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านี้มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารกู้เงินและค้ำประกันปลอม การพิสูจน์ข้อเท็จจริง และสิทธิในการนำสืบพยานบุคคล
จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 30,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน โดยจำเลยทั้งสองได้ลงลายมือชื่อใน หนังสือสัญญากู้เงินในหนังสือสัญญาค้ำประกันให้โจทก์โดยไม่ได้กรอกข้อความใด ๆ ให้โจทก์ไว้การที่โจทก์มากรอกข้อความในหนังสือสัญญากู้เงินและค้ำประกันในภายหลังผิดไปเกินกว่าความเป็นจริงว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ไป 300,000 บาทโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโดยไม่ได้รับความยินยอมของจำเลยทั้งสอง สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอมถือได้ว่าการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันคดีนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้ จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้โจทก์เพียง 30,000 บาทและได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันโดยยังไม่ได้กรอกข้อความ โจทก์ปลอมแปลงเอกสารสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันโดยกรอกข้อความและจำนวนเงินเป็น 300,000 บาท โดยจำเลยทั้งสองมิได้ยินยอม แม้ตามสัญญาทั้งสองจะระบุจำนวนเงินไว้ 300,000 บาทและสัญญากู้จะระบุว่าได้รับเงินครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองก็มีสิทธินำสืบพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วนหรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถและการพิสูจน์ข้อเท็จจริง โจทก์นำสืบต่างจากให้การ จำเลยไม่โต้แย้ง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง โดยเร่งความเร็วแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายเป็นผู้ขับโดยมิได้ให้สัญญาณเตือน ขณะนั้นมีรถยนต์ขับสวนมา จำเลยไม่สามารถขับรถยนต์แซงรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้พ้น จำเลยบังคับรถยนต์ของตนหลบรถยนต์ที่แล่นสวนทางมา เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับ แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ผู้ตายจอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่ริมถนนด้านซ้ายมือเพื่อจะข้ามถนนไปเติมน้ำมัน ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียด ไม่ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยก็ให้การปฏิเสธลอย ๆ จึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7302/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญาและการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง
ประกาศกระทรวงการคลังเรื่องการกำหนดสถาบันการเงินและอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม(ฉบับที่2)พ.ศ.2524ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้ไม่เกินร้อยละ19ต่อปีแม้จะออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา3(4)และมาตรา4แห่งพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินพ.ศ.2523ก็ตามก็มิใช่เป็นข้อกฎหมายอันถือเป็นเรื่องที่ศาลจะรับรู้ได้เองคงถือได้แต่เพียงเป็นประกาศที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบเมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงประกาศดังกล่าวโจทก์จะอ้างว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ16และ19ต่อปีโดยอาศัยประกาศดังกล่าวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาปลอมและการพิสูจน์ข้อเท็จจริง การกู้ยืมเงินและค้ำประกันที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
โจทก์กรอกข้อความและจำนวนเงินลงในสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพียงแต่ลงลายมือชื่อให้โจทก์ไว้เกินไปจากความจริงโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอมแม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะยอมรับว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์15,000 บาท และจำเลยที่ 2 ค้ำประกันโจทก์ไว้ 15,000 บาท โจทก์ไม่อาจอาศัยสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ใช้เงินตามจำนวนที่กู้ยืมและค้ำประกันจริงได้ ถือได้ว่าการกู้ยืมเงินและค้ำประกันคดีนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 15,000 บาทด้วย