พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2020/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากคำเบิกความพยานผู้เสียหาย และการไม่ริบของกลางที่เจ้าของมิได้มีส่วนร่วม
มีดของกลางเป็นมีดสำหรับใช้ทำครัวภายในบ้านของผู้เสียหาย แม้จะเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ศาลไม่อาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 วรรคสองต้องคืนแก่เจ้าของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้เขียนด้วยนามปากกา: พยานหลักฐานต้องชัดเจนและมีเหตุผลน่าเชื่อถือ
การใช้นามปากกาแทนชื่อจริง บุคคลทั่วไปจะรู้จักแต่นามปากกาไม่สามารถรู้ชื่อจริงได้ แม้จะเป็นบุคคลหรือเจ้าพนักงานตำรวจในท้องที่นั้นก็ตาม เพราะการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจในท้องที่นั้นไม่ได้ทำให้เกิดความรู้ขึ้นมา ได้ว่านามปากกาใดเป็นของผู้ใด คำเบิกความของ พันตำรวจโท อ. ไม่ได้แสดงเหตุผลที่น่าเชื่อถือว่าตนรู้ได้อย่างไรว่าจำเลยที่ 2 ใช้นามปากกาว่าคมแฝกพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนัก คดีรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เขียนคอลัมน์สังคมบ้านเรา ในหนังสือพิมพ์บ.โดยใช้นามปากกาว่าคมแฝก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 682/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานและคำเบิกความสอดคล้อง, การยืนยันตัวผู้ต้องหาจากผู้เสียหาย
เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนต่างไม่เคยรู้จักจำเลยและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุน่าระแวงว่าจะให้การปรักปรำจำเลยทั้งจับจำเลยกับพวกได้ในเวลาใกล้ชิดกับเวลาเกิดเหตุลักษณะของจำเลยกับพวกสีเสื้อผ้าหมวกที่พบอยู่กับจำเลยล้วนตรงกับที่ผู้เสียหายและธ.ได้แจ้งความไว้สภาพรถที่จำเลยขับขี่ตรงกับสภาพรถที่ผู้เสียหายและธ. ได้แจ้งไว้ด้วยแม้จำเลยนำสืบอ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจให้ผู้เสียหายชี้ตัวหลายครั้งแต่ก็ได้ความจากผู้เสียหายตอบโจทก์ถามติงว่าครั้งแรกที่ไปดูเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าให้ไปดูก่อนยังไม่ต้องบอกว่าใช่หรือไม่เพราะไม่ต้องการให้ชี้ต่อหน้าคนร้ายแต่มาบอกภายหลังดูคนร้ายเสร็จแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนประสงค์ให้ผู้เสียหายมีความแน่ใจเสียก่อนจึงค่อยชี้ตัวจำเลยหาใช่เรื่องที่ผู้เสียหายเกิดความลังเลใจแต่ประการใดไม่พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ได้ร่วมกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากการจดจำของผู้เสียหาย และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน
เหตุเกิดเวลาประมาณ11นาฬิกาก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีโอกาสเห็นจำเลย2ครั้งซึ่งมีระยะเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะจำคนร้ายได้และเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยในเวลาต่อมาก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำจำเลยว่าเป็นคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัวG โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่8กรกฎาคม2537เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีก1คนราคา4,500บาทร่วมกันชิงทรัพย์เงินจำนวน800บาทสร้อยคอทองคำหนัก2บาทราคา9,500บาทและสร้อยคอทองคำหนัก1บาทราคา4,500บาทรวมราคาทรัพย์14,800บาทของนางสำรวนเชื้อปรางผู้เสียหายโดยจำเลยกับพวกใช้กำลังประทุษร้ายผลักผู้เสียหายล้มใช้อาวุธปืนขู่บังคับว่าทันใดนั้นจะยิงผู้เสียหายและจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การชิงทรัพย์ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์พาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเหตุเกิดที่ตำบลไร่เก่าอำเภอปราณบุรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียนราชบุรีน-3232ที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,339,340ตรีริบของกลางให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์14,800บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339วรรคสองประกอบมาตรา340ตรี,83จำคุก15ปีของกลางริบให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์14,800บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า"ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าวันที่8กรกฎาคม2537เวลาประมาณ11นาฬิกานางสำรวนเชื้อปรางผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปทำไร่เมื่อไปถึงทางแยกเข้าไร่ใหม่ก็จอดรถซื้อของเห็นจำเลยและพวก1คนนั่งอยู่เมื่อซื้อของแล้วผู้เสียหายขับรถไปตามถนนลูกรังขณะอยู่ห่างจากไร่ประมาณ1กิโลเมตรพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายไล่ตามทันผู้เสียหายและแล่นคู่กันจำเลยกระชากแขนขวาของผู้เสียหายทำให้รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันล้มจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่บังคับห้ามมิให้ผู้เสียหายร้องจากนั้นพวกของจำเลยปลดเอาสร้อยคอทองคำหนัก2บาท1เส้นสร้อยคอทองคำหนัก1บาท1เส้นและล้วงเอาธนบัตรจำนวน800บาทไปจากกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายส่วนจำเลยเดินไปที่รถของผู้เสียหายแล้วหยิบเอากุญแจรถไปจากนั้นพวกของจำเลยขับรถให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายหลบหนีผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลไร่เก่าเจ้าพนักงานตำรวจออกติดตามจำเลยกับพวกโดยสอบถามชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุทราบว่าจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางหมู่บ้านหนองแกจึงตามไปจนพบบ้านชั้นเดียวมีลักษณะคล้ายกระต๊อบหน้าบ้านประตูปิดเจ้าพนักงานตำรวจเคาะประตูเรียกอยู่ประมาณ10นาทีจำเลยเปิดประตูออกมาเมื่อเห็นเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยมีท่าทีตกใจกลัวเจ้าพนักงานตำรวจเห็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิสีดำไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนจอดอยู่จึงสั่งให้จำเลยนำรถจักรยานยนต์ออกมาตรวจสอบและถามจำเลยว่าขับรถจักรยานยนต์ไปไหนและให้ใครยืมรถจักรยานยนต์ไปใช้หรือไม่จำเลยบอกว่าไม่มีแต่เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับเครื่องยนต์ดูปรากฏว่าเครื่องยนต์ยังร้อนเป็นพิรุธจึงควบคุมตัวจำเลยไปให้ผู้เสียหายดูตัวเมื่อผู้เสียหายเห็นจำเลยและรถจักรยานยนต์ก็ชี้ตัวยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่าชิงทรัพย์ของผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ จำเลยนำสืบว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ8นาฬิกาจำเลยพาภริยาไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลกุยบุรีกลับจากโรงพยาบาลกุยบุรีเวลาประมาณ15นาฬิกาต่อมาเวลาประมาณ16นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจให้ผู้เสียหายไปดูตัวจำเลยและค้นบ้านจำเลยผู้เสียหายดูแล้วแจ้งว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายแล้วค้นบ้านจำเลยแต่ไม่พบสิ่งของที่ผิดกฎหมายต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจผู้ค้นกลับมาค้นบ้านอีกครั้งขณะทำการค้นสิ่งของภายในบ้านจำเลยเสียหายจึงเกิดโต้เถียงกันเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยมาดำเนินคดี พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้าย2คนชิงทรัพย์ตามฟ้องของผู้เสียหายไปมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ11นาฬิกาพยานขับรถจักรยานยนต์ไปทำไร่ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ30กิโลเมตรเมื่อขับรถไปถึงบริเวณทางแยกเข้าไร่ใหม่ได้จอดรถเพื่อซื้อของพบจำเลยกับเพื่อนอีก1คนนั่งอยู่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเมื่อซื้อของเสร็จแล้วพยานขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปไร่พอจะถึงไร่ห่างกันประมาณ1กิโลเมตรพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายไล่ตามพยานมาทันขณะที่รถแล่นคู่กันจำเลยกระชากแขนขวาของพยานทำให้รถเสียหลักล้มทั้งสองคันจำเลยลุกขึ้นเดินเข้ามาหาพยานแล้วใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่บังคับไม่ให้ร้องพวกของจำเลยเข้ามาปลดเอาสร้อยคอทองคำ2เส้นและล้วงเอาธนบัตรจำนวน800บาทจากกระเป๋ากางเกงพยานไปต่อมาจำเลยได้เดินไปที่รถจักรยานยนต์ของพยานแล้วหยิบเอากุญแจรถไปด้วยจำเลยขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยหลบหนีพยานจำจำเลยและพวกของจำเลยได้เพราะจำเลยกับพวกไม่มีอะไรปกปิดใบหน้าพยานได้วิ่งไปหาสามีพยานที่ไร่แล้วพากันไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านจากนั้นผู้ใหญ่บ้านได้พามาแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลตลาดไร่เก่าเวลาประมาณ17นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจพาพยานไปดูตัวจำเลยที่บ้านหลังหนึ่งพยานจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายและเห็นรถจักรยานยนต์จอดอยู่บริเวณบ้านจำเลยจำได้ว่าเป็นรถที่จำเลยกับพวกใช้ในขณะเกิดเหตุปัญหาคงมีว่าผู้เสียหายจดจำคนร้ายได้แน่นอนเพียงใดเห็นว่าเหตุเกิดเวลาประมาณ11นาฬิกาผู้เสียหายมีโอกาสเห็นจำเลย2ครั้งกล่าวคือก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเข้าไปซื้อของที่ร้านแห่งหนึ่งเห็นจำเลยกับพวกนั่งอยู่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันขณะเกิดเหตุเมื่อรถจักรยานยนต์2คันล้มจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายผู้เสียหายจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าคนร้ายในระยะใกล้เมื่อคนร้ายไปถึงตัวได้ใช้อาวุธปืนจี้พร้อมทั้งห้ามผู้เสียหายมิให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือพวกของจำเลยเข้ามาปลดเอาสร้อยคอและล้วงเอาธนบัตรไปก่อนจำเลยจะหลบหนีจำเลยยังได้เดินไปที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแล้วหยิบเอากุญแจรถไปด้วยจึงมีระยะเวลาที่ผู้เสียหายเห็นคนร้ายนานพอสมควรที่จะจำคนร้ายได้จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัวที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเบิกความว่าเจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายไปดูตัวจำเลยที่บ้านแล้วชี้ให้พนักงานตำรวจจับจำเลยแต่จ่าสิบตำรวจชัยวัฒน์คีรีวัฒน์พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับจำเลยกลับเบิกความว่ารับแจ้งเหตุแล้วออกติดตามคนร้ายไปหมู่บ้านหนองแกพบรถจักรยานยนต์จอดอยู่ที่บ้านจำเลยเครื่องยนต์ยังร้อนจึงเชิญจำเลยมาสถานีตำรวจพบผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยแล้วชี้จำเลยว่าเป็นคนร้ายเป็นการแตกต่างกันหาข้อยุติไม่ได้ว่าขณะเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยผู้เสียหายอยู่ด้วยหรือไม่เห็นว่าเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายข้อแตกต่างดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความหาเป็นพิรุธทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากการเบิกความพยาน, พยานหลักฐาน, และคำรับสารภาพของผู้ต้องหา
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นุ่งโสร่งและใส่เสื้อแขนสั้นตรงกับที่จำเลยที่ 1 แต่งกายในตอนเช้าและในตอนเย็น ขณะเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมก็ยังแต่งกายชุดเดิมการปล้นกระทำกันในระยะประชิดโดยจำเลยที่ 1 วิ่งจากข้างทางมายืนขวางหน้ารถแล้วยกอาวุธปืนขึ้นจ้องขู่บังคับให้หยุดรถ แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 จะสวมหมวกถักด้วยไหมพรม แต่ใบหน้าตั้งแต่ระดับคิ้วลงมาจดคางไม่มีสิ่งใดปิดบัง เหตุเกิดเวลากลางวัน พยานโจทก์เคยเห็นหน้าจำเลยที่ 1 มาก่อนเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมง และเห็นรอยแผลเป็นที่บริเวณใกล้ข้อมือซ้ายของจำเลยที่ 1 ขณะยกอาวุธปืนจ้องขู่บังคับอยู่ตรงหน้ารถ พยานโจทก์ย่อมจำคนร้ายได้ถูกต้อง และหลังเกิดเหตุยังได้ระบุตำหนิรูปพรรณคนร้ายจนเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปจับจำเลยที่ 1 ได้ แล้วจำเลยที่ 1 ซัดทอดว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ได้พร้อมของกลางจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าเงินของกลางได้มาจากการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพพยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากคำเบิกความผู้เสียหาย, พยานแวดล้อม, และคำรับสารภาพประกอบด้วยเหตุผลสมจริง
ผู้เสียหายได้ชี้ตัวจำเลยในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งอย่างใด แม้ขณะที่ยืนเข้าแถวให้ชี้ตัวจำเลยมีผ้าพันแผลที่แขนซ้ายต่างจากคนอื่นๆ เมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งให้ผู้เสียหายทราบล่วงหน้าก่อนชี้ตัวว่าจำเลยมีผ้าพันแผลดังกล่าว จะตั้งข้อสงสัยเอาและถือเป็นพิรุธย่อมจะไม่ได้เพราะมีข้อแตกต่างอื่นๆ อีกหลายประการระหว่างจำเลยกับคนอื่น ๆเช่น เสื้อผ่้าและรูปร่างผิวพรรณ ซึ่งถ้าจะแจ้งแก่ผู้เสียหายให้รู้ว่า จำเลยคืนคนไหน ย่อมทำได้อยู่แล้ว ข้อที่มีผ้าพันแผลดังกล่าวจึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่เชื่อถือการชี้ตัวจำเลย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานประกอบการรับฟังคำให้การผู้เสียหาย การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดในคดีปล้นทรัพย์
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่เมื่อพิจารณาประกอบพยานหลักฐานทั้งหมดในท้องสำนวนแล้วก็ใช้รับฟังลงโทษจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6232/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขับขี่รถยนต์ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ การพิสูจน์ตัวผู้ขับขี่ และค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการใช้รถยนต์ดังกล่าว วันเกิดเหตุรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของโจทก์และบุตรโจทก์ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายหลังเกิดเหตุ ผู้ขับรถยนต์กระบะขับหลบหนีไปโดยจำเลยที่ 2 แจ้งต่อพนักงานตำรวจว่า ต. ไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริงกับผู้ขับ และเหตุละเมิดเกิดขึ้นจากการที่ผู้ขับรถยนต์กระบะขับไปในทางการที่จ้างวานใช้ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 อันป็นการบรรยายฟ้องไปตามข้อเท็จจริงเท่าที่โจทก์ทราบ และมิได้ยืนยันว่า ต. เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะในขณะเกิดเหตุละเมิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุและมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการใช้รถยนต์ดังกล่าว เมื่อเกิดเหตุละเมิดจากการขับรถยนต์ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในฐานะที่เป็นตัวการ ถือได้ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะที่เป็นตัวการในการกระทำละเมิดเองโดยตรงด้วย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์ในขณะเกิดเหตุละเมิดจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชาย อ. จึงมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูซึ่งรวมถึงหน้าที่ในการดูแลรักษาพยาบาลเด็กชาย อ. ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ เมื่อเด็กชาย อ. ถูกกระทำละเมิด โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้โดยตรง
ค่าใช้จ่ายอันเป็นค่าเดินทางไปดูแลอาการเด็กชาย อ. เป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องเสียไปอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคหนึ่ง
โจทก์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชาย อ. จึงมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูซึ่งรวมถึงหน้าที่ในการดูแลรักษาพยาบาลเด็กชาย อ. ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ เมื่อเด็กชาย อ. ถูกกระทำละเมิด โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้โดยตรง
ค่าใช้จ่ายอันเป็นค่าเดินทางไปดูแลอาการเด็กชาย อ. เป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องเสียไปอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคหนึ่ง