พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8823/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอพิจารณาใหม่ล่าช้า: เหตุสุดวิสัยและการพิสูจน์เหตุแห่งความล่าช้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำขอให้พิจารณาใหม่ นั้น มาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้ยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งแก่จำเลย ถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้าต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นด้วย
คดีนี้ปรากฏตามสำนวนว่า พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดบังคับไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลในวันที่ 15 กันยายน 2539 ซึ่งมีผลบังคับในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2539 จำเลยอ้างในคำร้องขอพิจารณาใหม่ว่า จำเลยและครอบครัวได้เดินทางไปจัดการดูแลสวนส้มเขียวหวานของจำเลยที่อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานีและที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี จึงไม่มีใครอยู่ดูแลบ้านของจำเลย ทำให้พนักงานเดินหมายได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่จำเลย เดินทางไปที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 ดังนี้ แม้ในคำร้องของจำเลยมิได้กล่าวถึงคำบังคับไว้โดยตรง แต่ก็พออนุมานได้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 อันเป็นวันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงแล้ว จึงเริ่มต้นนับกำหนด 15 วัน ตามบทบัญญัติข้างต้นได้ ถือว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้า และเหตุแห่งการล่าช้าชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว ฉะนั้น ที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2540 หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่จำเลยอ้างในคำร้อง ก็ถือว่าจำเลยยื่นคำร้องดังกล่าวยังไม่ล่วงพ้นระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้
คดีนี้ปรากฏตามสำนวนว่า พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดบังคับไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลในวันที่ 15 กันยายน 2539 ซึ่งมีผลบังคับในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2539 จำเลยอ้างในคำร้องขอพิจารณาใหม่ว่า จำเลยและครอบครัวได้เดินทางไปจัดการดูแลสวนส้มเขียวหวานของจำเลยที่อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานีและที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี จึงไม่มีใครอยู่ดูแลบ้านของจำเลย ทำให้พนักงานเดินหมายได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่จำเลย เดินทางไปที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 ดังนี้ แม้ในคำร้องของจำเลยมิได้กล่าวถึงคำบังคับไว้โดยตรง แต่ก็พออนุมานได้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 อันเป็นวันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงแล้ว จึงเริ่มต้นนับกำหนด 15 วัน ตามบทบัญญัติข้างต้นได้ ถือว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้า และเหตุแห่งการล่าช้าชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว ฉะนั้น ที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2540 หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่จำเลยอ้างในคำร้อง ก็ถือว่าจำเลยยื่นคำร้องดังกล่าวยังไม่ล่วงพ้นระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7174-7185/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้าง การพิสูจน์เหตุเลิกจ้าง และขอบเขตอำนาจศาลในการพิพากษาค่าชดเชยเกินคำขอ
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานมิได้นำเหตุผลที่โจทก์ทั้งสิบสองกล่าวอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างมาพิจารณา แต่นำคำเบิกความของพยานที่ไม่เกี่ยวกับการเลิกจ้าง มาเป็นเหตุผลในการตัดสินคดี เมื่อนำคำพยานจำเลยมาพิจารณาจะเห็นได้ว่าเป็นเพียงคำชี้แจงถึงผลที่จะตามมาถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง มิใช่เป็นคำสั่งเลิกจ้าง คำพูดดังกล่าวเป็นการพูดขณะที่มีอารมณ์โกรธ มิใช่คำสั่งเด็ดขาดว่าหากไม่พิมพ์ลายนิ้วมือให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้าง อีกทั้งไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ที่เป็นช่วง 8 คน ด้วยในวันเดียวพร้อม ๆ กัน และโจทก์ทั้งสองจงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจำเลยและได้ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ทางนำสืบของโจทก์ปรากฏชัดว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 มิได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ขณะโจทก์ที่ 4 ถึงโจทก์ที่ 7 และโจทก์ที่ 9 ถึงโจทก์ที่ 12 ถูกจำเลยเลิกจ้าง มิได้เป็นผู้ได้ยินหรือทราบข้อความโดยตรงในเหตุการณ์ดังกล่าว คำเบิกความของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3จึงเป็นพยานบอกเล่า ศาลมิอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ก็ดี และโจทก์ทั้งสิบสองมีหน้าที่สืบว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบสองแต่ข้อเท็จจริงในสำนวนมิอาจรับฟังน้ำหนักให้พอที่จะเชื่อได้ว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบสอง ศาลจึงมิอาจจะพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสิบสองก็ดี แต่คดีนี้ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบสอง อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โจทก์ฟ้องอ้างว่าได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 13,500 บาท มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน คิดเป็นเงิน40,500 บาท ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 12,150 บาท แต่พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์จำนวน 72,900 บาท ซึ่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ทั้งไม่ปรากฏเหตุที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจำนวน 36,450 บาท แม้จำเลยอุทธรณ์ยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจำนวน 40,500 บาท ตามฟ้องก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีสิทธิได้ค่าชดเชยตามกฎหมายเพียงจำนวนดังกล่าวศาลก็ต้องพิพากษาให้ตามที่โจทก์มีสิทธิ