พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ และการฟ้องคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการพิสูจน์เอกสารรับสภาพหนี้
จำเลยอ้างว่ามีที่อยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ตามสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประชาชน แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่ศาลไปส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยานโจทก์ หมายนัดฟังคำพิพากษา และอื่น ๆให้แก่จำเลยที่บ้านในจังหวัดเพชรบูรณ์ ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ว่าคนข้างบ้าน บุตรสาว และคนในบ้านของจำเลยแจ้งว่าจำเลยไปธุระต่างจังหวัดบ้าง ไปธุระนอกบ้านบ้างทุกครั้งแสดงว่าจำเลยอยู่ที่บ้านที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบกับบ้านที่จังหวัดนครสวรรค์นั้นถูกรื้อไปแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยเองว่า จำเลยอาศัยอยู่ที่บ้านของพี่สาวเมื่อเดินทางไปที่จังหวัดนครสวรรค์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่ง คือที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งถือว่าทั้งสองแห่งนั้นเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 38 ฉะนั้น ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1942/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เอกสารและการกู้ยืมเงินที่เป็นเอกสารปลอม ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
เมื่อสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเสร็จแล้วโจทก์แถลงขอส่งสัญญากู้เงินเอกสารฉบับพิพาทไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ว่าข้อความหมึกสีดำกับข้อความหมึกสีน้ำเงินเป็นลายมือของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต พันตำรวจโทก. ผู้เชี่ยวชาญของศาลได้ตรวจพิจารณาแล้วลงความเห็นว่า ไม่ใช่ลายมือของบุคคลคนเดียวกัน การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้มีการตรวจพิสูจน์เอกสารโดยผู้เชี่ยวชาญตามความประสงค์ของโจทก์ และผู้เชี่ยวชาญของศาลได้ตรวจและทำความเห็นโดยละเอียดชัดแจ้งแล้ว เพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นไม่สมความประสงค์ของโจทก์ ย่อมไม่เป็นเหตุพอที่จะให้ผู้เชี่ยวชาญอื่นตรวจพิสูจน์เอกสารอีกเพราะเป็นการตรวจพิสูจน์ซ้ำจึงไม่น่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงจากเดิม เป็นการฟุ่มเฟือย และประวิงคดีให้ล่าช้า จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ส่งเอกสารไปให้ผู้เชี่ยวชาญอื่นตรวจพิสูจน์ใหม่อีก จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์เพียง 40,000 บาท โดยจำเลยลงลายมือชื่อ ในสัญญากู้ฉบับพิพาทในช่องผู้กู้และเขียนข้อความอื่นซึ่งเขียนด้วยหมึกสีดำส่วนจำนวนเงิน กำหนดเวลาใช้คืนและดอกเบี้ยซึ่งเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินจำเลยไม่ได้เขียนแต่มีการกรอกข้อความที่ระบุจำนวนเงิน กำหนดเวลาใช้คืนและดอกเบี้ยซึ่งเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินซึ่งจำนวนเงินเกินไปจากความจริง โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญากู้เงินฉบับพิพาทจึงเป็นเอกสารปลอม ถือว่าการกู้ยืมเงินคดีนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2457/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับฟังความเห็นผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์เอกสารได้, ค่าธรรมเนียมเป็นค่าฤชาธรรมเนียม
ในคดีแพ่ง ศาลรับฟังความเห็นที่ผู้เชี่ยวชาญแสดงเป็นหนังสือได้
ค่าธรรมเนียมผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์เอกสารเป็นค่าฤชาธรรมเนียมในคดี ศาลกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดรับผิดก็ได้
ค่าธรรมเนียมผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์เอกสารเป็นค่าฤชาธรรมเนียมในคดี ศาลกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดรับผิดก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับรองธนาคาร: โจทก์ต้องพิสูจน์การส่งเอกสารตามเงื่อนไขเลตเตอร์ออฟเครดิต เพื่อให้ธนาคารรับผิด
โจทก์ได้นำหนังสือ (เครดิต) ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีถึงธนาคารให้จ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแก่โจทก์ไปแสดงต่อธนาคารจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ประทับตราในหนังสือนั้นมีข้อความว่า "ธนาคารได้ทราบแล้ว จะจ่ายเงินให้ในเมื่อได้ส่งเอกสารมาแลกเปลี่ยนเงินตามเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิต ดังกล่าวข้างบนแล้ว" เมื่อโจทก์ส่งสินค้าให้แก่จำเลขที่ 1 แล้วได้ให้ผู้แทนเอาหนังสือ (เครดิต) ที่ธนาคารได้ประทับตราไว้นั้นไปแลกเงิน แต่ไม่ได้นำเลตเตอร์ออฟเครดิตและเอกสารต่าง ๆ ไปแลกเปลี่ยนธนาคารจึงไม่จ่ายเงิน เช่นนี้ ธนาคารจำเลยที่ 2 ไม่เป็นฝ่ายผิดคำรับรอง โจทก์จะฟ้องบังคับให้ธนาคารจำเลยที่ 2 ชำระเงินหาได้ไม่
ในคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างถึงเงื่อนไขในคำรับรอง แต่โจทก์ได้อ้างข้อความคำรับรองตามเอกสารท้ายฟ้อง เอกสารนี้ระบุว่าโจทก์จะต้องนำเอกสารมาแลกเปลี่ยนเงินตามเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิต ดังนี้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าโจทก์ได้ส่งเอกสารตามนัยแห่งเงื่อนไขครบถ้วนแล้ว
ในคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างถึงเงื่อนไขในคำรับรอง แต่โจทก์ได้อ้างข้อความคำรับรองตามเอกสารท้ายฟ้อง เอกสารนี้ระบุว่าโจทก์จะต้องนำเอกสารมาแลกเปลี่ยนเงินตามเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิต ดังนี้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าโจทก์ได้ส่งเอกสารตามนัยแห่งเงื่อนไขครบถ้วนแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับรองธนาคาร: โจทก์ต้องพิสูจน์การส่งเอกสารตามเงื่อนไขเลตเตอร์ออฟเครดิต เพื่อให้ธนาคารรับผิดตามสัญญา
โจทก์ได้นำหนังสือ (เครดิต)ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีถึงธนาคารให้จ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแก่โจทก์ไปแสดงต่อธนาคารจำเลยที่ 2. จำเลยที่ 2 ได้ประทับตราในหนังสือนั้นมีข้อความว่า 'ธนาคารได้ทราบแล้ว จะจ่ายเงินให้ในเมื่อได้ส่งเอกสารมาแลกเปลี่ยนเงินตามเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิต ดังกล่าวข้างบนแล้ว'. เมื่อโจทก์ส่งสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วได้ให้ผู้แทนเอาหนังสือ(เครดิต)ที่ธนาคารได้ประทับตราไว้นั้นไปแลกเงิน. แต่ไม่ได้นำเลตเตอร์ออฟเครดิตและเอกสารต่างๆ ไปแลกเปลี่ยนธนาคารจึงไม่จ่ายเงิน เช่นนี้. ธนาคารจำเลยที่ 2 ไม่เป็นฝ่ายผิดคำรับรอง. โจทก์จะฟ้องบังคับให้ธนาคารจำเลยที่2 ชำระเงินหาได้ไม่.
ในคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างถึงเงื่อนไขในคำรับรอง. แต่โจทก์ได้อ้างข้อความคำรับรองตามเอกสารท้ายฟ้อง. เอกสารนี้ระบุว่าโจทก์จะต้องนำเอกสารมาแลกเปลี่ยนเงินตามเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิต. ดังนี้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าโจทก์ได้ส่งเอกสารตามนัยแห่งเงื่อนไขนั้นครบถ้วนแล้ว.
ในคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างถึงเงื่อนไขในคำรับรอง. แต่โจทก์ได้อ้างข้อความคำรับรองตามเอกสารท้ายฟ้อง. เอกสารนี้ระบุว่าโจทก์จะต้องนำเอกสารมาแลกเปลี่ยนเงินตามเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิต. ดังนี้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าโจทก์ได้ส่งเอกสารตามนัยแห่งเงื่อนไขนั้นครบถ้วนแล้ว.