พบผลลัพธ์ทั้งหมด 94 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5952/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้หวงห้ามและมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต การพิจารณาองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง และมาตรา 73 วรรคสอง หมายความว่า ผู้กระทำความผิดฐานทำไม้หวงห้ามโดยมิชอบและความผิดฐานมีไว้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตนั้นหากเป็นไม้สัก ไม้ยาง หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. ไม่ว่าจำนวนมากน้อยเพียงใดก็มีความผิด หากเป็นไม้ประเภทอื่นจะมีความผิดต่อเมื่อทำไม้หรือมีไม้เป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร
จำเลยมีไม้แดง ไม้รัง และไม้ประดู่ รวมไม้ทั้งหมด 284 ท่อน ซึ่งเกิน 20 ท่อน และรวมปริมาตรไม้ทั้งสิ้น 6.47 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกิน 4 ลูกบาศก์เมตร เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ ฯ มาตรา 69 วรรคสอง (2) และมาตรา 73 วรรคสอง (2) แล้ว
จำเลยมีไม้แดง ไม้รัง และไม้ประดู่ รวมไม้ทั้งหมด 284 ท่อน ซึ่งเกิน 20 ท่อน และรวมปริมาตรไม้ทั้งสิ้น 6.47 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกิน 4 ลูกบาศก์เมตร เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ ฯ มาตรา 69 วรรคสอง (2) และมาตรา 73 วรรคสอง (2) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3284/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ การรับฟังพยานหลักฐาน และการรอการลงโทษ
ในคดีอาญา กฎหมายห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานเท่านั้น ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังคำซัดทอดของผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันแต่อย่างใดเพียงแต่ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังว่าคำซัดทอดนั้นมิได้เกิดจากเจตนาเพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้ประโยชน์จากการซัดทอดนั้น ด้วย ในชั้นสอบสวน ไม่มีการกล่าวหาหรือแจ้งข้อกล่าวหาแก่ อ. ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่า อ. ทราบดีว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติถือได้ว่า อ. เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย เกิดจากความเข้าใจของจำเลยมิได้เกิดจากการสอบสวน อ. จึงมิใช่ผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทำผิดในคดีนี้ คำเบิกความของ อ. ไม่ถือเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทำผิด
ขณะเกิดเหตุ ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมาย จึงมีสภาพเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 4(1) การที่จำเลยได้ว่าจ้าง ส. นำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันดินในที่ดินที่เกิดเหตุ ย่อมฟังได้ว่าจำเลยกับ ส. ร่วมกันก่นสร้างแผ้วถาง อันเป็นการทำลายป่าและยึดถือครอบครองป่าและยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่น จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ได้มีการเพิกถอนเขตป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินที่เกิดเหตุแล้วหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป
ขณะเกิดเหตุ ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมาย จึงมีสภาพเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 4(1) การที่จำเลยได้ว่าจ้าง ส. นำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันดินในที่ดินที่เกิดเหตุ ย่อมฟังได้ว่าจำเลยกับ ส. ร่วมกันก่นสร้างแผ้วถาง อันเป็นการทำลายป่าและยึดถือครอบครองป่าและยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่น จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ได้มีการเพิกถอนเขตป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินที่เกิดเหตุแล้วหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5011/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนโรงงานแปรรูปไม้: ความรับผิดชอบในการจัดทำบัญชีและการดูแลกิจการตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
ความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงหรือในข้อกำหนดที่ไม่จัดทำบัญชีรับและจำหน่ายไม้แปรรูป บัญชีรับและจำหน่ายสิ่งประดิษฐ์เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้ามให้ถูกต้องตามความจริงอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 58 ประกอบด้วยมาตรา 73 ทวิ เป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษสำหรับผู้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้หรือผู้รับใบอนุญาตให้ค้าหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้าม จำเลยเป็นเพียงตัวแทนดูแลกิจการโรงงานแปรรูปไม้ที่เกิดขึ้นของผู้รับอนุญาต จำเลยจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้หรือผู้รับใบอนุญาตให้ค้าหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใด บรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้ามประการหนึ่ง กับเมื่อผู้รับอนุญาตซึ่งเป็นตัวการได้มอบอำนาจให้จำเลยตัวแทนมีอำนาจเฉพาะสั่งให้คนงานหรือผู้รับจ้างหยุดทำการแปรรูปไม้ หยุดขนหรือเคลื่อนย้ายไม้เมื่อได้รับคำสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ อำนวยความสะดวก ตอบข้อซักถาม และรับทราบคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ทำการตรวจสอบกิจการที่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ ลงนามในหนังสือกำกับไม้แปรรูปและลงนามในคำขอใบเบิกทางเพื่อขอนำไม้เคลื่อนที่ และลงนามในหนังสือกำกับสิ่งประดิษฐ์และลงนามในคำขอประทับรอยตราประจำต่อหนังสือกำกับสิ่งประดิษฐ์ติดต่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้กับโรงงานแปรรูปไม้ ตามที่ระบุไว้ในหนังสือตั้งตัวแทนเท่านั้นอันมีลักษณะเป็นกรณีที่จำเลยตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีรับและจำหน่ายไม้แปรรูป บัญชีรับและจำหน่ายสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใด บรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงหรือในข้อกำหนดดังนี้ แม้จำเลยไม่ได้จัดทำบัญชีดังกล่าว จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงหรือในข้อกำหนดอันเป็นความผิดตามมาตรา 58 ประกอบด้วยมาตรา 73 ทวิ และตามข้อกำหนดฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2532) ออกตามความในพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ว่าด้วยการควบคุมการแปรรูปไม้ ข้อ 14 ระบุว่า ผู้รับอนุญาตต้องอยู่ดูแลกิจการแปรรูปไม้ด้วยตนเอง หากไม่อาจอยู่ดูแลกิจการด้วยตนเองได้ต้องจัดให้มีตัวแทนเป็นลายลักษณ์อักษรตามแบบที่อธิบดีกรมป่าไม้กำหนด เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบคำถามแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ และวรรคสามระบุว่า หากฝ่าฝืนให้สั่งพักใช้ใบอนุญาต ตามข้อกำหนดดังกล่าวมีความหมายเพียงว่า ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตไม่อาจอยู่ดูแลกิจการแปรรูปไม้ด้วยตนเองได้ ต้องจัดให้มีตัวแทนเพื่ออำนวยความสะดวกและตอบคำถามแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หากผู้รับอนุญาตฝ่าฝืนไม่จัดให้มีตัวแทนเพื่อการดังกล่าวไว้ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งพักใช้ใบอนุญาตของผู้รับอนุญาตได้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3119/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีไม้หวงห้ามเกิน 20 ท่อน ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ แม้ปริมาตรไม่เกิน 4 ลูกบาศก์เมตร
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2)บัญญัติว่า "ไม้อื่นเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร" ย่อมหมายความว่า การมีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปหากเป็นไม้อื่น ๆ นอกจากไม้สัก ไม้ยาง หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. แล้ว จะเป็นความผิดตามมาตรา 69 วรรคสอง (2) ได้ก็ต่อเมื่อ ปริมาณไม้อื่น ๆ เป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันแล้วเกิน 20 ต้น หรือท่อนก็ได้ หรือรวมกันแล้วมีปริมาตรไม้เกิน 4 ลูกบาศก์เมตร ก็ได้ เมื่อจำเลยมีไม้ประดู่ 47 ท่อน ไม้มะค่าโมง 47 ท่อนรวม 94 ท่อน จึงถือได้ว่าจำเลยมีไม้อื่น ๆ เป็นท่อนรวมกันแล้วเกิน 20 ท่อน การกระทำของจำเลยย่อมครบถ้วนองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 69 วรรคสอง (2) แม้ว่าไม้ท่อน ดังกล่าวเมื่อรวมกันแล้วมีปริมาตรไม้ไม่เกิน4 ลูกบาศก์เมตรก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1971/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ ศาลลงโทษได้แม้โจทก์มิได้อ้างบทลงโทษโดยตรง
โจทก์บรรยายฟ้องมาแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปตัดโค่นทำไม้หวงห้ามประเภท ก. และอ้างบทมาตรา 11 ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้พ.ศ.2484 อันเป็นบทห้ามกระทำความผิดแล้ว แม้โจทก์จะมิได้อ้างมาตรา 73วรรคสอง ซึ่งเป็นบทลงโทษมาด้วย ศาลย่อมลงโทษตามมาตรา 73 วรรคสอง ได้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการสั่งคืนของกลาง: เจ้าพนักงานป่าไม้มีอำนาจเฉพาะในการคืนของกลางที่ยึดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทซึ่งเป็นของกลางที่เจ้าพนักงาน-ป่าไม้จับกุมพร้อมไม้แปรรูปที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิด รถยนต์พิพาทถูกยึดไว้เป็นของกลางในความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ และอยู่ในความดูแลของเจ้าพนักงานป่าไม้ ซึ่งมิใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลย จำเลยเป็นหัวหน้าพนักงาน-สอบสวนในคดีดังกล่าว ดังนี้ การที่เจ้าพนักงานป่าไม้เก็บรักษารถยนต์พิพาทไว้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ที่ให้อำนาจไว้ แม้คดีอาญาดังกล่าวจะยังไม่ถึงที่สุด พนักงานสอบสวนยังมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดต่อไปก็ตามแต่การขอคืนของกลางรถยนต์พิพาทต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484มาตรา 64 ตรี ซึ่งบัญญัติไว้เป็นพิเศษ กล่าวคือ ผู้มีอำนาจสั่งคืนของกลาง คือพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ได้แก่เจ้าพนักงานป่าไม้ จำเลยมิใช่ผู้มีอำนาจหรือหน้าที่ในการคืนของกลางรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1148/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษและการริบของกลางในคดีความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยถูกพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯรวมสองคดีคือคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขดำที่889/2536ของศาลชั้นต้นและโจทก์ขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่889/2536สำหรับคดีอาญาหมายเลขดำที่889/2536ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจำเลยอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยให้เบาลงโดยไม่รอการลงโทษจำคุกและคดีถึงที่สุดแล้วดังนั้นเมื่อจำเลยกระทำความผิดสองคดีและศาลลงโทษจำคุกทั้งสองคดีจึงสมควรนับโทษจำเลยต่อตามฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้และมีคำขอให้ริบของกลางซึ่งเป็นอุปกรณ์เครื่องมือที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดแต่ที่ศาลล่างทั้งสองไม่สั่งคำขอดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบเฉพาะไม้สักแปรรูป180ชิ้นซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยมีไว้เป็นความผิดซึ่งศาลจะต้องริบศาลฎีกาหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา195วรรคสองประกอบมาตรา225และแก้ไขเสียให้ถูกต้องโดยให้ริบไม้สักแปรรูปของกลางดังกล่าวเสียด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6208/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้: ยกฟ้องเนื่องจากพยานขัดแย้ง แต่ริบไม้อันได้มาจากการกระทำผิด
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้และขอให้ริบไม้ยางแปรรูปของกลาง ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าพยานโจทก์ในที่เกิดเหตุเบิกความขัดแย้งในข้อสำคัญ กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่ไม้ของกลางเป็นไม้ที่มีผู้ลักลอบตัดจากริมเหมืองส่งน้ำถือว่าเป็นไม้อันได้มาเนื่องจากการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ จึงต้องริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4373/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีไม้แปรรูปโดยมิใช่เพื่อการค้า และมีหลักฐานแสดงที่มาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
จำเลยมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยมีหลักฐานแสดงว่าได้ไม้มาโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ เมื่อจำเลยมีไม้สักแปรรูปนั้นไว้ในครอบครองโดยมิใช่เพื่อการค้า จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา 50(3) จำเลยไม่มีความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 48 วรรคแรก,73 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2847/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ของบุคคลที่มิได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้: สิทธิในการขอคืนรถยนต์
โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางที่ใช้ขนไม้แปรรูปหวงห้ามโดยโจทก์มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำของผู้ต้องหาเมื่อพิจารณา พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 64 ทวิที่บัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดรถยนต์ของกลางไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี จนกว่าพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องหรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำความผิดหรือของผู้มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ซึ่งตามบทบัญญัติของมาตรานี้มิได้มีข้อความระบุถึงกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด จะตีความว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีความมุ่งหมายให้ยึดทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ได้ และรถยนต์ของกลางก็มิได้เป็นหลักฐานสำคัญแห่งองค์ความผิดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิดของผู้กระทำความผิดว่ากระทำความผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต พนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่มีอำนาจยึดรถยนต์ของกลางซึ่งเป็นของโจทก์ไว้ประกอบคดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามนัย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคท้าย