พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8156/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลชั้นต้นที่รับรองมูลฟ้องแล้ว ศาลอุทธรณ์แก้เป็นยกฟ้องข้อหาเบิกความเท็จ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ป.อ. มาตรา 177,264, 265, 267, 83, 86, 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 มีมูลทุกข้อหา ดังนั้น คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1ย่อมเด็ดขาด ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 170 โจทก์อุทธรณ์ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2เห็นว่าความผิดฐานเบิกความเท็จสำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งมีมูลมานั้นเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 แล้วมีคำพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาเบิกความเท็จ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 170
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9082/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเช็คไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อฟ้องแสดงสภาพแห่งข้อหาชัดเจน และการนำสืบการชำระหนี้หลังให้การต่อสู้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว จำเลยเองก็สามารถให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ และลายมือชื่อในเช็คพิพาทเป็นลายมือชื่อปลอม จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยหาได้หลงต่อสู้ไม่ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ และลายมือชื่อในเช็คเป็นลายมือชื่อปลอม ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าเป็นหนี้โจทก์และชำระหนี้แล้ว การที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระหนี้แล้วจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องอาญาต้องครบถ้วนตามกฎหมาย หากไม่ครบถ้วนศาลไม่มีอำนาจลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ต่างจากฟ้อง
การที่ศาลจะมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความแตกต่างกับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192ได้นั้นจะต้องเป็นเรื่องที่คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายมาถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา 158(1)-(7) เสียก่อน หากเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องโดยไม่จำต้องพิจารณาสืบพยานคู่ความแต่อย่างใด และกรณีดังกล่าวศาลย่อมไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย่งการครอบครอง และฟ้องซ้ำ: ศาลวินิจฉัยฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถือเป็นคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยเข้ารบกวนการครอบครองเพียงครั้งเดียว. โจทก์นำคดีมาฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ภายหลังจากที่โจทก์ถูกรบกวนในครั้งนั้น. โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนต่อไป.
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์. โดยวินิจฉัยว่าประธานกรรมการและกรรมการบริษัทโจทก์ไม่มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทประการหนึ่ง. และโจทก์หมดสิทธิฟ้องจำเลยเพราะไม่ฟ้องภายใน 1 ปี. นับแต่วันถูกแย่งการครอบครองอีกประการหนึ่ง. โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก. ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายเสียแล้ว. ก็ย่อมไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่เกี่ยวกับฟ้องของโจทก์ได้. เพราะการที่จะวินิจฉัยไปถึงประเด็นอื่นดังกล่าวได้ ฟ้องของโจทก์จะต้องเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน. ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ในคดีก่อนด้วยว่า โจทก์หมดสิทธิฟ้องจำเลย. เพราะไม่ฟ้องภายใน 1 ปี. นับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง. จึงเป็นคำวินิจฉัยที่เกินเลยไปจะถือว่ามีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นข้อนี้แล้วไม่ได้. โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์. โดยวินิจฉัยว่าประธานกรรมการและกรรมการบริษัทโจทก์ไม่มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทประการหนึ่ง. และโจทก์หมดสิทธิฟ้องจำเลยเพราะไม่ฟ้องภายใน 1 ปี. นับแต่วันถูกแย่งการครอบครองอีกประการหนึ่ง. โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก. ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายเสียแล้ว. ก็ย่อมไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่เกี่ยวกับฟ้องของโจทก์ได้. เพราะการที่จะวินิจฉัยไปถึงประเด็นอื่นดังกล่าวได้ ฟ้องของโจทก์จะต้องเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน. ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ในคดีก่อนด้วยว่า โจทก์หมดสิทธิฟ้องจำเลย. เพราะไม่ฟ้องภายใน 1 ปี. นับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง. จึงเป็นคำวินิจฉัยที่เกินเลยไปจะถือว่ามีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นข้อนี้แล้วไม่ได้. โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5135/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับขั้นตอนพิจารณาคดีอาญา: ศาลต้องพิจารณาแก้ฟ้องก่อนตัดสินว่าฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องโดยอาศัย ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคแรก ศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาคำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์ก่อนว่ามีเหตุอันควรอนุญาตหรือไม่ แล้วจึงดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แต่ศาลชั้นต้นกลับวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงวันเวลาที่จำเลยกระทำความผิด จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) โดยมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์เสียก่อน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนของกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้โดยไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาครั้งที่ 2/2554)
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาครั้งที่ 2/2554)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14700/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ขาดองค์ประกอบความผิด จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลฎีกายกฟ้อง
การจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามที่โจทก์อุทธรณ์มานั้นจะต้องได้ความว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ ซึ่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฯ มาตรา 31 บัญญัติว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไรให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือเสนอให้เช่าซื้อ
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(3) แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์
(4) นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
แต่โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าแต่เพียงว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทงานวรรณกรรมโปรแกรมคอมพิวเตอร์และงานโสตทัศนวัสดุเกมเพลย์สเตชั่นของผู้เสียหาย โดยมีไว้ซึ่งแผ่นดีวีดีเกมเพลย์สเตชั่น 1 แผ่น ที่มีผู้ทำซ้ำดัดแปลงขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย เพื่อให้เช่าเสนอให้เช่าแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า จำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานดังกล่าวได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น คำฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าได้ และไม่อาจสั่งให้แผ่นดีวีดีเกมเพลย์สเตชั่น 1 แผ่น ของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฯ มาตรา 75 กับไม่อาจพิพากษาให้ริบโทรทัศน์สีและเครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชั่นของกลางที่โจทก์อ้างว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวได้เช่นกัน ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง
(1) ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือเสนอให้เช่าซื้อ
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(3) แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์
(4) นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
แต่โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าแต่เพียงว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทงานวรรณกรรมโปรแกรมคอมพิวเตอร์และงานโสตทัศนวัสดุเกมเพลย์สเตชั่นของผู้เสียหาย โดยมีไว้ซึ่งแผ่นดีวีดีเกมเพลย์สเตชั่น 1 แผ่น ที่มีผู้ทำซ้ำดัดแปลงขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย เพื่อให้เช่าเสนอให้เช่าแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า จำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานดังกล่าวได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น คำฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าได้ และไม่อาจสั่งให้แผ่นดีวีดีเกมเพลย์สเตชั่น 1 แผ่น ของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฯ มาตรา 75 กับไม่อาจพิพากษาให้ริบโทรทัศน์สีและเครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชั่นของกลางที่โจทก์อ้างว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวได้เช่นกัน ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง