คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ภัยคุกคาม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6496/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขู่ด้วยอาวุธปืน แม้ยังอยู่ในซองปืน ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392
ผู้เสียหายกับจำเลยต่างมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ทั้งก่อนเกิดเหตุคดีนี้เล็กน้อยผู้เสียหายกับจำเลยก็ยังมีปากเสียงโต้เถียงกัน ต่อมาเมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ตามไปทันมารดาผู้เสียหาย จำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหาย แล้วจำเลยชักอาวุธปืนสั้นซึ่งยังใส่อยู่ในซองปืนออกจากเอวเล็งไปทางผู้เสียหายขณะอยู่ห่างกันประมาณ 2 เมตร ทั้งจำเลยยังพูดอีกด้วยว่า "มึงจะลองกับกูหรือ มึงอยากตายหรือไง" ลักษณะกิริยาอาการตลอดจนคำพูดของจำเลยแสดงแจ้งชัดอยู่ในตัวว่า จำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงใช้ประหัตประหาร แม้จะยังอยู่ในซองปืน กระทำการดังกล่าวแล้วตามวิสัยวิญญูชนผู้ตกอยู่ในภาวะอันมิได้คาดคิดมาก่อน ย่อมจะต้องตกใจกลัว ผู้เสียหายซึ่งประสบเหตุการณ์เช่นนี้ก็มิได้พูดอะไรกับจำเลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังโต้เถียงกับจำเลย แต่ผู้เสียหายกลับขับรถจักรยานยนต์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันที แสดงว่าผู้เสียหายกลัวภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ตนแล้วตามวิสัยปุถุชนทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา 392
การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ในที่ดินซึ่งตนมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย หาใช่เป็นการพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านดังที่ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา8 ทวิ, 72 ทวิ ประสงค์ให้เป็นความผิดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานเบิกความกลัวภัย ไม่เป็นเหตุให้คำเบิกความไม่มีน้ำหนัก เมื่อมีหลักฐานอื่นสนับสนุน
แม้การเป็นพยานจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่พลเมืองดีก็ตามแต่บางครั้งพยานก็อาจไม่ต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีแม้ตนจะเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ก็ตามทั้งนี้อาจเป็นเพราะเกิดความกลัวหรือเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับจะนำภัยมาถึงตนและครอบครัวก็เป็นได้ยิ่งผู้ตายเป็นคนต่างท้องถิ่นส่วนจำเลยเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันและขณะนั้นยังจับคนร้ายไม่ได้อีกด้วยในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจพบท. สอบถามแล้วไม่ยอมให้การมีลักษณะท่าทางกลัวจึงน่าเชื่อว่าที่ท. ไม่ยอมระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายและที่บอกว่าคนร้ายสองคนเคยเห็นหน้ามาก่อนมาถ้าเห็นหน้าอีกจำได้นั้นคงมิใช่เพราะท.ไม่รู้จักคนร้ายแต่เป็นเพราะกลัวว่าหากระบุชื่อคนร้ายไปอาจจะนำภัยมาถึงตนหรือครอบครัวมากกว่าดังนั้นการที่ท. ไม่ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายในวันเกิดเหตุจึงหาเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้น้ำหนักของคำเบิกความของท. ที่ยืนยันว่าจำเลยกับอ.เป็นคนร้ายเสียไปไม่เมื่อรับฟังประกอบกับพฤติการณ์ที่จ.พบเห็นจำเลยกับพวกก่อนและหลังเกิดเหตุและพฤติการณ์ที่พันตำรวจโทว. สืบทราบว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายจนยึดรถจักรยานยนต์ของโจทก์ได้และรายงานต่อผู้บังคับบัญชาพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5758/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการพาอาวุธปืนโดยมีเหตุอันสมควร
ผู้ตายกับพวกถือสิ่งของคล้ายอาวุธปืนเดินเข้ามาหาจำเลยในเขตนากุ้งของจำเลยในเวลาค่ำคืน จำเลยร้องห้ามให้วางสิ่งของดังกล่าว แล้วผู้ตายกับพวกกลับจู่โจมเข้ามาใกล้ประมาณ 2-3 เมตรย่อมมีเหตุให้จำเลยอยู่ในภาวะเข้าใจได้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้ามาทำร้ายและถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงไปทางผู้ตายกับพวกในภาวะและพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมายและพอสมควรแก่เหตุ จำเลยนำอาวุธปืนของกลางซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีไว้ในครอบครองติดตัวไปเฝ้านากุ้งของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนของกลางไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร แต่ถือว่าเป็นการพาไปโดยมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ วรรคสอง แม้จำเลยมิได้ฎีกาความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาพิจารณาวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ: จำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันภัยจากการถูกทำร้ายจากทั้งผู้ตายและบิดา
โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมและฆ่าเด็กชายป.โดยเจตนา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 2 ปีริบของกลางคำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องคืนของกลางแก่เจ้าของ ดังนี้ ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ในส่วนที่เด็กชาย ป. ถูกฆ่า โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาเด็กชายป. เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในฐานะผู้เข้าจัดการแทนเด็กชายป. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2)ต่อมาโจทก์ร่วมตายลง ว.พี่ชายเด็กชายป.ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมหามีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายตามมาตรา 29 ไม่เพราะโจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้จัดการแทนเด็กชายป.ซึ่งเป็นผู้เสียหายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฆ่าเด็กชายป. โจทก์ร่วมมีอาวุธเหล็กแหลมเดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยเดินถอยหลังเมื่อโจทก์ร่วมเข้าไปหาห่างประมาณ 5-6 เมตร จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า1 นัด และยิงลงที่พื้นอีก 1 นัด เด็กชายป. ผู้ตายถือไม้ขนาดเท่าแขนวิ่งเข้าไปจะตีจำเลย เหตุเกิดในเวลากลางคืน ภยันตรายที่ละเมิดต่อกฎหมายใกล้จะเกิดกับจำเลยทั้งสองด้าน ในขณะนั้นจำเลยตัวคนเดียวในเวลาที่คับขันไม่อาจคาดหมายได้ว่าภยันตรายจะเกิดขึ้นกับตนนั้นมีมากน้อยเพียงใด จำเลยใช้อาวุธปืนที่อยู่ในมือยิงไปทางเด็กชาย ป. ซึ่งเป็นผู้ที่จะทำให้เกิดภยันตรายต่อจำเลยที่ใกล้ชิดที่สุดก่อนเพื่อป้องกันภยันตรายที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีโอกาสเลือกที่จะป้องกันโดยวิธีอื่นได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4026/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเมื่อถูกทำร้ายและการใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันตนเอง
โจทก์ร่วมได้ชกจำเลย 1 ที จำเลยจึงใช้เท้าถีบโจทก์ร่วม 1 ทีแล้วเดินถอยหลังลงบันได โจทก์ร่วมได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลย 1 นัดไม่ถูก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม 1 นัด และลงบันไดหนีไปดังนี้ การที่โจทก์ร่วมชกจำเลย จำเลยใช้เท้าถีบโจทก์ร่วม แล้วถอยหลังลงบันไดไปนั้น ไม่เป็นการสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับโจทก์ร่วมเมื่อจำเลยถอยหนีลงบันได โจทก์ร่วมใช้อาวุธปืนยิงจำเลยอีกจึงเป็นการประทุษร้ายต่อจำเลยโดยละเมิดต่อกฎหมาย และโจทก์ร่วมสามารถใช้อาวุธปืนยิงจำเลยได้ตลอดเวลา ถือได้ว่าเป็นภยันตรายใกล้จะถึง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมไป 1 นัด แล้วลงบันไดหนีไปเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนจากบุคคลวิกลจริต: การกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ
ขณะที่จำเลยกับ ส. บุตรของจำเลยนั่งรับประทานอาหารอยู่ในครัวของจำเลย ผู้เสียหายซึ่งอยู่ในภาวะของโรคจิตมีอาการคลุ้มคลั่งจะทำร้ายผู้อื่น ได้บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลยเรียก ส.ออกมาพูดและกล่าวหาว่า ส. ลักน้ำมันของผู้เสียหายไป เมื่อ ส. ปฏิเสธ ผู้เสียหายก็ควักปืนสั้นออกมายิง 1 นัด จากนั้นผู้เสียหายยังถือปืนและมีดบุกรุกขึ้นไปบนบ้านจำเลยด้วยกิริยาอาการขู่เข็ญคุกคามจะยิงจำเลยและบุตรของจำเลยซึ่งในภาวะเช่นนั้นจำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นคนวิกลจริตอาจยิงทำร้ายจำเลยภริยาและบุตรของจำเลยได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายไป6 นัด โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายล้มลงหรือหยุดการคุกคามเมื่อใดและผู้เสียหายยังสามารถหลบหนีออกไปจากบ้านของจำเลยได้เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตน และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2223/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวและการป้องกันทรัพย์สิน: การยิงเพื่อป้องกันภัยจากกลุ่มผู้บุกรุกในเวลากลางคืน
บริเวณแถบบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ที่เกิดเหตุเป็นหนองขังน้ำที่มิใช่หนองสาธารณะ ใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลาของจำเลย อยู่ในที่ดินที่จำเลยครอบครองและอยู่ไม่ไกลจากเรือนจำเลย ก่อนเกิดเหตุราว 10 วัน เครื่องสูบน้ำที่ขอบหนองหายไป คืนเกิดเหตุมืดมองเห็นกันไม่ถนัดโจทก์กับพวกราว 20 คนไปลักลอบหาปลาที่หนองน้ำดังกล่าวจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนเดินไปเงียบๆ เพื่อดูเหตุการณ์เมื่อมาใกล้ที่เกิดเหตุ จำเลยได้ยินเสียงคนลักลอบหาปลามีจำนวนมาก จึงยิงปืนขู่ขึ้น 1 นัด พวกหาปลาแตกตื่นหลายคนวิ่งมาทางจำเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นใครและไม่รู้ว่าผู้ใดมีอาวุธติดมือมาบ้าง ทำให้จำเลยเข้าใจว่าพวกที่ลักลอบจับปลาซึ่งกำลังวิ่งมานั้นจะเข้ามาทำร้ายตน จำเลยจึงใช้ปืนยิงสุ่มๆ ไป 1 นัด (ถูกโจทก์บาดเจ็บสาหัส) แล้วยิงขึ้นฟ้าอีก 1 นัดโดยไม่ได้ยิงซ้ำเติมไปยังพวกโจทก์อีก ถือได้ว่าเป็น การป้องกันตัวจำเลยให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึงที่พอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: การใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันภัยคุกคามในเคหสถาน
ผู้ตายและพวกเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เรือนจำเลยในยามวิกาลโดยไม่บอกกล่าวเล่าขานแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงเหตุจำเป็นที่ต้องเข้ามาและกลับใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงขึ้นหลายนัดเช่นนี้ ย่อมมีเหตุสมควรให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายและพวกเข้ามาโดยเจตนาประทุษร้ายต่อจำเลยจำต้องยิงไปเพื่อป้องกันตนและทรัพย์สินของจำเลยการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68,62

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวและการใช้กำลังสมควรแก่เหตุเมื่อถูกทำร้าย
จำเลยแทงผู้เสียหายในขณะผู้เสียหายใช้มือทั้งสองเค้นคอจำเลยอยู่. จำเลยว่าหายใจไม่ออก จำเลยไม่มีทางจะหลีกเลี่ยง ถ้าหากจำเลยไม่ใช้มีดแทงผู้เสียหาย. จำเลยอาจถึงแก่ความตายได้. เพราะผู้เสียหายรูปร่างใหญ่โตแข็งแรงกว่าจำเลย. ฉะนั้น การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหาย จึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวในภาวะฉุกเฉิน: การกระทำเกินสมควรแก่เหตุเมื่อเผชิญภัยคุกคามในเคหสถาน
การที่ผู้ตายขึ้นเรือนจำเลยในกลางคืนยามวิกาล ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้นอกจากว่าเป็นการขึ้นมาในลักษณะอาการของคนร้าย จำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการป้องกันภยันตรายได้ ตามพฤติการณ์ที่จำเลยต้องประสบภยันตรายขณะนั้น ฉะนั้นแม้จำเลยจะฟันผู้ตายหลายที จำเลยย่อมไม่มีโอกาสจะยับยั้งชั่งใจกระทำน้อยกว่าที่ได้กระทำไปแล้วจึงจะถือเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่าที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันไม่ได้
of 2