คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
มาตรา 192

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5280/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากเจตนาเป็นประมาท ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 192 วรรคสาม
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 225ที่จำเลยฎีกาเพียงว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นฎีกาที่ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อย่างไร ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คำฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยมีเจตนาจุดไฟเผากิ่งมะนาวแห้งในสวนมะนาวของบิดาจำเลย จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงลุกลามไหม้โรงเรือนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ร่วมทั้งสอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 จำเลยให้การปฏิเสธ และนำสืบต่อสู้ทำนองว่า เหตุที่เกิดเพลิงไหม้โรงเรือนที่อยู่อาศัยของโจทก์ร่วมทั้งสองมิใช่การกระทำของจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โรงเรือนที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย แต่เป็นการกระทำโดยประมาท จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 225 ดังนี้ เป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสามซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ โดยมิให้ถือว่าต่างกันในสาระสำคัญ ทั้งมิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษแล้ว ไม่เข้ากรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาลงโทษจำเลยเกินกว่าที่ฟ้อง สิ้นสุดที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ประมาทโดยการขับรถยนต์ด้วยความเร็วไม่ชิดขอบทางด้านซ้ายของตน เป็นเหตุให้ชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับสวนทางมาด้วยความประมาทเช่นกัน แล้วจึงไปชนกับรถยนต์คันอื่นอีก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ขับรถไม่ชิดขอบทางด้านซ้ายมือของตนสภาพรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับถูกชนตรงกลางรถ มีลักษณะถูกรถยนต์ที่ ย. ขับชนมากกว่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ประมาทในส่วนนี้แต่ที่ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 2 ประมาท โดยหลังจากที่รถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับถูกรถยนต์ที่ ย. ขับชนเสียหลักตกลงไปไหล่ถนนทางด้านขวามือแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่หยุดรถกลับแล่นขึ้นมาบนถนนทางด้านขวามือ เพื่อจะข้ามไปยังช่องทางด้านซ้ายมือ โดยไม่ดูให้ดีก่อนว่าขณะนั้นมีรถยนต์ของบริษัทขนส่ง จำกัด แล่นสวนทางมาในระยะกระชั้นชิด ซึ่งไม่สามารถหยุดหรือหลบได้ทันจึงเกิดชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับ เป็นความประมาทของจำเลยที่ 2 และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 2 ขับรถขึ้นมาบนถนนทางด้านขวามือเป็นการขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร และเป็นการขับรถในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดาซึ่งอาจไม่เห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลังได้พอแก่ความปลอดภัยโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นจนเกิดชนกับรถยนต์ของบริษัทขนส่ง จำกัด ซึ่งแล่นสวนทางมา ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยไม่ใช้ความระมัดระวัง จึงเป็นการขับรถโดยประมาท พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นนั้นเป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในข้อที่โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ซึ่งปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องในคดีขับรถประมาท – ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ในฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและชิดท้ายรถที่จำเลยที่ 1 ขับนำอยู่ทางด้านขวา ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ไม่ลดความเร็วของรถเมื่อใกล้ทางร่วมทางแยก ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงเรื่องทางร่วมทางแยกซึ่งเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือคำฟ้องมาลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 626/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างบทกฎหมายผิดทั้งฉบับขัดต่อหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และการตีความข้อยกเว้น
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3 วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "พนักงาน"ไว้ให้หมายถึง บุคคลต่างๆตามที่ระบุไว้ ทั้งนี้นอกจากผู้เป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมาย และพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 มาตรา 18 บัญญัติให้พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา ฉะนั้น จึงนำพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาใช้บังคับลงโทษจำเลยซึ่งเป็นพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192 วรรคสี่ แต่เป็นการอ้างกฎหมายผิดทั้งฉบับ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ตามมาตรา 192 วรรคต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2482

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบหลักฐานนอกฟ้องในคดีสมคบตั้งสมาคมอั้งยี่และบทบัญญัติมาตรา 192 ว.พ.ร.ก.
บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกสมคบกันตั้งสมาคมอั้งยี่โดยปิดบังวิธีการเพื่อการทุจจริตต่าง ๆ เอาอำนาจไปเที่ยวกดขี่แก่บุคคลที่ไม่ใช่พรรคพวกสมาชิกด้วยกันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญามาตรา 177,179,180 แต่โจทก์สืบไป+ทางว่า คณะอั้งยี่นี้มีกติกา+ ถ้าพวกเดียวกันข่มเหงกันแล้วครั้งที่ 1 ให้สั่งสอนครั้งที่ 2 ให้เฆี่ยน ครั้งที่ 3 ให้ฆ่า เป็นการนำสืบ+ฟ้อง+ รับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16572/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในความผิดที่ไม่ได้ระบุในฟ้อง ถือเป็นการผิดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 192
ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์แล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับ เมื่อถึงบริเวณสี่แยกจำเลยที่ 1 ขับรถความเร็วสูงโดยประมาทไม่ดูให้ดีว่าในขณะนั้นมีรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 แล่นสวนทางมาในช่องฝั่งตรงกันข้าม และขณะนั้นจำเลยที่ 1 จะขับรถเลี้ยวไปทางขวามือเพื่อผ่านสี่แยกดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงโดยประมาทเช่นเดียวกันไม่ดูให้ดีว่าขณะนั้นมีรถของจำเลยที่ 1 กำลังเลี้ยวผ่านหน้าไป ทำให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถหยุดรถหรือชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะขับหลบหลีกไม่เฉี่ยวชนกันได้ รถของจำเลยที่ 1 และรถของจำเลยที่ 2 จึงพุ่งเข้าเฉี่ยวชนกันอย่างแรง ทำให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย และเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ตกจากรถได้รับอันตรายสาหัส ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 กระทำโดยประมาท และผลของการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 2 แล้ว แม้จะบรรยายต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส แต่ก็เป็นผลมาจากการกระทำของจำเลยที่ 2 เองด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ แสดงว่าจำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แต่เมื่อการที่จำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสเป็นผลมาจากการกระทำของจำเลยที่ 2 เอง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม ป.อ. มาตรา 300 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานดังกล่าวด้วยนั้น เป็นการลงโทษในการกระทำความผิดที่ไม่ได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง