พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ค่าอากรและเงินเพิ่มเป็นมูลหนี้ต่างกัน อากรเป็นหนี้หลัก เงินเพิ่มเป็นหนี้ที่เกิดตามกฎหมาย
หนี้ค่าอากรขาเข้าและเงินเพิ่มเป็นหนี้ที่กฎหมายบัญญัติให้รัฐเรียกเก็บจากเอกชนผู้ทำธุรกรรมตามที่กฎหมายกำหนด หนี้ค่าอากรขาเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง ส่วนหนี้เงินเพิ่มเกิดขึ้นเนื่องจากผู้นำเข้าไม่ชำระค่าอากรภายในเวลาที่กำหนดกับให้เรียกเก็บนับแต่วันที่ส่งมอบตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่ง ดังนั้นหนี้ค่าอากรกับหนี้เงินเพิ่มจึงเป็นมูลหนี้หลายราย เมื่อจำเลยชำระหนี้ไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้หมดทุกราย หนี้ค่าอากรเป็นหนี้รายที่ตกหนักที่สุดแก่ลูกหนี้เพราะมีภาระเงินเพิ่มตามกฎหมาย ย่อมได้เปลื้องไปก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 487/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ/ซ้อน & ดอกเบี้ยผิดนัด: สัญญาขายลดเช็ค, มูลหนี้ต่างกัน, อัตราดอกเบี้ยตามสัญญา
ก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 128 ฉบับ คือ ว. ที่ศาลแพ่งธนบุรี 2 คดี ซึ่งคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ ว. ชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ และโจทก์ฟ้องบริษัท น. จำกัด ที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ 2 คดี เช่นกัน ซึ่งศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษาให้บริษัท น. จำกัด ชำระเงินตามฟ้องให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.21 และ จ.22 คดีตามเอกสารหมาย จ.21 ถึงที่สุด ส่วนคดีตามเอกสารหมาย จ.22 จำเลยอุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 และปรากฏข้อเท็จจริงว่า คดีทั้งสี่สำนวนดังกล่าวจำเลยผู้สั่งจ่ายยังไม่ได้ชำระเงินตามคำพิพากษาให้โจทก์ ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ และโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามคดีนี้ให้รับผิดตามสัญญาขายลดเช็ค ส่วนคดีเดิมทั้งสี่สำนวนโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานนะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท แม้การฟ้องคดีนี้กับคดีเดิมเป็นการฟ้องเกี่ยวกับเช็คพิพาทชุดเดียวกัน แต่มูลหนี้คดีนี้เป็นคนละมูลหนี้กับคดีนี้เดิมและสภาพแห่งข้อหาต่างกัน ทั้งจำเลยก็เป็นคนละคนกัน กรณีมิใช่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันและมิใช่เป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นอันต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง และมาตรา 173 วรรคสอง (1) ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อนกับคดีที่โจทก์ฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คไว้ที่ศาลอื่น
ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินพิพาททุกฉบับ กำหนดว่าในกรณีผู้ขายผิดนัดธนาคารโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของอัตราสินเชื่อผิดนัดที่ธนาคารโจทก์ได้ประกาศให้เรียกเก็บจากลูกหนี้สินเชื่อผิดนัดในขณะนั้น ขณะทำสัญญาธนาคารโจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดร้อยละ 18 ต่อปี สัญญาดังกล่าวเป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของธนาคารโจทก์ ซึ่งทำให้สิทธิโจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดไม่เกินร้อยละ 18 ต่อปี ทั้งสัญญาขายลดตั๋วเงินดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงมีผลบังคับใช้ไม่เป็นโมฆะ
ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินพิพาททุกฉบับ กำหนดว่าในกรณีผู้ขายผิดนัดธนาคารโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของอัตราสินเชื่อผิดนัดที่ธนาคารโจทก์ได้ประกาศให้เรียกเก็บจากลูกหนี้สินเชื่อผิดนัดในขณะนั้น ขณะทำสัญญาธนาคารโจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดร้อยละ 18 ต่อปี สัญญาดังกล่าวเป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของธนาคารโจทก์ ซึ่งทำให้สิทธิโจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดไม่เกินร้อยละ 18 ต่อปี ทั้งสัญญาขายลดตั๋วเงินดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงมีผลบังคับใช้ไม่เป็นโมฆะ