พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4537/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์: จำเลยต้องได้รับการยกประโยชน์เมื่อโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์เวลาเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2546 เวลากลางคืนติดต่อกันวัน เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายร่วมกับจำเลยที่ 2 ลักทรัพย์แผ่นอะลูมิเนียมของผู้เสียหายไปโดยทุจริต แม้คำบรรยายฟ้องของโจทก์พอที่จะให้จำเลยที่ 1 เข้าใจข้อหาได้ดีว่าวันเวลาที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดเป็นช่วงวันเวลาใดและจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ตามฟ้องก็ตาม แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ซึ่งความจริงเหตุอาจจะเกิดในเวลากลางวันก็ได้ จึงต้องยกประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยฟังว่าจำเลยที่ 1 ลักทรัพย์ในเวลากลางวัน ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) นั้นไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เวลาเกิดเหตุลักทรัพย์ หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ต้องยกประโยชน์ให้จำเลย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 7 มีนาคม 2544 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจนถึงวันที่ 8 มีนาคม 2544 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยลักทรัพย์สร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไปโดยทุจริต แม้คำบรรยายฟ้องของโจทก์พอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่าวันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดเป็นช่วงวันเวลาใดและจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุให้ศาลเห็นว่าจำเลยลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ซึ่งความจริงเหตุอาจจะเกิดในเวลากลางวันก็ได้ จึงต้องยกประโยชน์ให้แก่จำเลยโดยฟังว่าจำเลยลักทรัพย์ในเวลากลางวัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3056/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์โดยมีเหตุสงสัยเรื่องการใช้ยานอนหลับ ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย
แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าร่วมกันวางแผนใช้ยานอนหลับผสมในเครื่องดื่มให้ผู้เสียหายทั้งสองดื่ม และร่วมกันลักทรัพย์หลายรายการในขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองหลับก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณากลับปฏิเสธว่ามิได้กระทำเช่นนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นชาวต่างชาติ จึงเป็นไปได้ว่าล่ามอาจแปลคำให้การไม่ถูกต้อง ดังนั้น ลำพังคำให้การในชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนดังกล่าวยังไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามนั้นได้ โจทก์ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานอื่นมาสืบให้มั่นคงและฟังได้ว่ามียานอนหลับหรือสารที่ทำให้ง่วงปนอยู่ในเครื่องดื่มที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ให้ผู้เสียหายทั้งสองดื่มจริงตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานการตรวจพิสูจน์เครื่องดื่มว่ามีส่วนผสมของยานอนหลับอยู่ด้วย ทั้งไม่มีผลการตรวจร่างกายของผู้เสียหายทั้งสองมาแสดงให้เห็นว่า การที่ผู้เสียหายทั้งสองนอนหลับเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มียานอนหลับหรือสารที่ทำให้ง่วง กรณีจึงยังมีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใส่ยานอนหลับในเครื่องดื่มให้ผู้เสียหายทั้งสองดื่มหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดเพียงฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 984/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่า ต้องคำนึงถึงพฤติการณ์และหลักฐานที่ขัดแย้ง หากมีเหตุสงสัย ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางเบิกความยืนยันตามรายงานการตรวจพิสูจน์ว่าลูกกระสุนปืนของกลางไม่มีรอยตำหนิเข็มแทงชนวนที่จานท้ายกระสุนปืน ย่อมแสดงว่ากระสุนปืนมิได้ถูกยิงจากอาวุธปืนของกลางในขณะเกิดเหตุ ส่วนที่ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยกระชากลูกเลื่อนแล้วจ้องอาวุธปืนไปยังผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายกับจำเลยอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร โดยผู้เสียหายกำลังจูงรถจักรยานยนต์ในภาวะการณ์เช่นนี้ หากจำเลยประสงค์จะยิงผู้เสียหายจริง จำเลยต้องยิงได้ทันทีก่อนผู้เสียหายเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากจำเลย เนื่องจากจำเลยได้กระชากลูกเลื่อนบรรจุกระสุนปืนเข้ารังเพลิงเสร็จก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าแย่งอาวุธปืน ตามพฤติการณ์ของจำเลยอาจกระชากลูกเลื่อนอาวุธปืนและจ้องเพื่อขู่ผู้เสียหายเท่านั้น ทั้งจำเลยและผู้เสียหายก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันรุนแรงถึงขั้นที่จะประสงค์ต่อชีวิต กรณียังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชิงทรัพย์ไม่ชัดเจน ยกประโยชน์แห่งความสงสัย ลดโทษฐานทำร้ายร่างกาย
พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกกระทำต่อผู้เสียหายตั้งแต่เมื่อพบผู้เสียหายบนรถยนต์โดยสารจนกระทั่งมีคนมาช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นลักษณะของการกระทำที่ต้องการโอ้อวดบารมีแสดงอำนาจบาตรใหญ่เพื่อข่มเหงรังแกผู้เสียหายให้ผู้เสียหายเกรงกลัวโดยความคึกคะนองตามวิสัยของบุคคลที่ยังเยาว์วัย ด้วยความคิดอ่านและคิดว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น น่าจะไม่มีเจตนาที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ประกอบกับคำเบิกความของผู้เสียหายและ ฉ. พยานโจทก์ก็ยังมีข้อน่าสงสัยว่า จำเลยกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำขาดโดยเจตนาที่จะเอาไปโดยสุจริตหรือว่าสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายขาดเพราะจำเลยจับคอเสื้อผู้เสียหายกระชาก เป็นเหตุให้สร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำตกหล่นหายไป แม้โจทก์จะมีคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาปล้นทรัพย์ แต่จำเลยก็ยังโต้เถียงว่าจำเลยไม่ได้ให้การรับสารภาพ ตามพฤติการณ์แห่งคดียังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่าจำเลยมีเจตนาเอาสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปโดยทุจริตหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7150/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ได้จากการถูกทำร้ายร่างกาย และพยานที่ไม่ชัดเจน ทำให้ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
แม้ชั้นสอบสวนจำเลยจะให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุก็ตาม แต่จำเลยเบิกความว่าเหตุที่ให้การเช่นนั้นเพราะถูกทำร้ายร่างกาย ทั้งเมื่อถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจำเลยก็ให้การปฏิเสธและไม่ยอมลงชื่อในคำให้การ ดังนั้น ลำพังเพียงคำรับสารภาพดังกล่าวไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดหรือไม่ ศาลย่อมยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติด - พยานหลักฐานไม่ชัดเจน - ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์ไม่มีพยานที่เห็นว่าจำเลยเป็นผู้นำเฮโรอีนของกลางไปซุกซ่อนไว้ใต้ต้นปาล์ม เฮโรอีนของกลางที่ยึดได้อยู่ห่างบ้านจำเลยถึง 15 เมตร และซุกซ่อนอยู่ในถุงพลาสติกครอบด้วยกะลามะพร้าวใต้ต้นปาล์มติดแนวเขตที่ดินจำเลยซึ่งปกติย่อมยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นพบได้นอกจากเจ้าพนักงานตำรวจจะทราบล่วงหน้าถึงสถานที่ซุกซ่อนเฮโรอีนของกลาง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเช่นว่านั้นทำให้เป็นที่สงสัย และหากเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลยก็น่าจะซุกซ่อนในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ไม่น่าจะซุกซ่อนใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของผู้อื่นโดยไม่มีรั้วกั้นเขตแดนและเป็นที่โล่งแจ้งซึ่งความปลอดภัยมีน้อยอีกทั้งสถานที่พบเฮโรอีนของกลางอยู่ห่างจากบ้านจำเลยโดยมี สวนกาแฟคั่นใกล้แนวเขตที่ดินของผู้อื่นและไม่มีรั้วกั้นโอกาสที่ผู้อื่นจะนำมาซุกซ่อนย่อมเป็นไปได้ไม่ยาก ทั้งในการตรวจค้นจำเลยก็นำตำรวจค้นโดยมิได้ขัดขืนแต่ประการใดและจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาว่าเฮโรอีนของกลางมิใช่ของจำเลย ประกอบกับใบบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุแผนที่แสดงสถานที่ เกิดเหตุและภาพถ่ายประกอบคดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลย หลบหนีหรือแสดงจุดที่จับกุมจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยัง เป็นที่สงสัยตามสมควรว่าเฮโรอีนของกลางจำเลยเป็นผู้ที่มี ไว้ในครอบครองหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็น ผลดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดียาเสพติด: พยานหลักฐานไม่เพียงพอและข้อสงสัยมีเหตุผล จำเลยต้องได้รับการยกประโยชน์แห่งความสงสัย
จำเลยที่1มีเฮโรอีนซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก2,885กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยลักษณะของคดีและพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนให้สายลับเข้าไปล่อซื้อมีความซับซ้อนพอสมควรเชื่อว่าเป็นการกระทำเป็นขบวนการซึ่งย่อมต้องมีผู้ร่วมขบวนการด้วยเมื่อพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่าจำเลยที่2และที่3เข้าไปเกี่ยวข้องกับจำเลยที่1ในการล่อซื้อเฮโรอีนดังกล่าวและถูกจับได้พร้อมของกลางในห้องพักเดียวกันอันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงออกในลักษณะร่วมขบวนการเดียวกันพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยที่2และที่3ร่วมกับจำเลยที่1มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายส่วนจำเลยที่4ถึงที่6ซึ่งโจทก์นำสืบว่ามีส่วนรู้เห็นกับการเตรียมส่งมอบเฮโรอีนของกลางโดยเป็นผู้นำเฮโรอีนไปส่งให้แก่จำเลยที่3นั้นพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเบิกความแตกต่างจากคำพยานคนกลางอีกทั้งบริเวณนั้นก็มีแสงสว่างน้อยพยานโจทก์ซุ่มดูเหตุการณ์ห่างกัน10เมตรเศษเชื่อว่าพยานโจทก์ไม่สามารถมองเห็นกลุ่มคนดังกล่าวได้ชัดเจนพอพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักฟังว่าจำเลยที่4ถึงที่6ได้ร่วมกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขาย: จำเลยไม่มีส่วนร่วม จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัย
จำเลยที่2ไม่ได้อยู่ร่วมด้วยในขณะที่จำเลยที่1และที่3ติดต่อขาย เมทแอมเฟตามีนให้นายดาบตำรวจ ก. กับสายลับที่ไปล่อซื้อและไม่พบสิ่งของที่ผิดกฎหมายที่ตัวจำเลยที่2อีกทั้งไม่มีพยานที่รู้เห็นว่าจำเลยที่2มีส่วนร่วมในการนำ เมทแอมเฟตามีนของกลางไปซุกซ่อนในรถยนต์กระบะที่จำเลยทั้งสามนั่งมาด้วยกันอย่างไรหรือไม่คดียังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่2ได้ร่วมกับจำเลยที่1และที่3กระทำความผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์ ปลอมเอกสารใช้เอกสารปลอม จำเลยต้องได้รับการยกประโยชน์แห่งความสงสัยเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยัน
โจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นว่าจำเลยลักเอาสมุดฝากเงินธนาคารและหนังสือใบสุทธิประจำตัวของผู้เสียหายและปลอมเอกสารใบถอนเงินและหนังสือมอบฉันทะให้รับเงินจากธนาคารไปโดยคำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวก็เป็นเพียงการคาดคะเนส่วนพฤติการณ์ที่จำเลยไม่สามารถนำ จ.ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของผู้เสียหายตามที่ได้กล่าวอ้างว่า จ. ได้ไปพบจำเลยโดยนำเอกสารและหลักฐานดังกล่าวของผู้เสียหายไปให้จำเลยช่วยถอนเงินให้โดยบอกว่าผู้เสียหายป่วยหรือหลังจากจำเลยเบิกเงินแล้วไม่รีบนำเงินไปมอบให้ผู้เสียหายทันทีและเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมารดาบุญธรรมจำเลยก็ยินยอมคืนเงินให้ผู้เสียหายโดยดีก็จะถือเป็นข้อพิรุธและฟังเป็นผลร้ายหาได้ไม่จึงมีเหตุสงสัยตามควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย