พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบยึดเช็คชำระค่าที่ดินโดยไม่มีอำนาจ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ขาย
จำเลยรับราชการตำแหน่งปฏิรูปที่ดินจังหวัด มีหน้าที่ในการจัดซื้อที่ดินและจัดการจ่ายเงินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดให้แก่ผู้ขายสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดดำเนินการจัดซื้อที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินแปลงที่ 4และแปลงที่ 5 จาก ร. สำหรับแปลงที่ 5 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้ดำเนินการจัดซื้อและชำระราคาที่ดินให้แก่ ร.ผู้ขายเรียบร้อยแล้ว ส่วนแปลงที่ 4นั้น ในวันที่ 14 มิถุนายน 2527 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้ดำเนินการจัดซื้อและชำระราคาที่ดินให้แก่ผู้ขายโดยปราศจากเงื่อนไขและแยกชำระราคาเป็นพันธบัตรรัฐบาลและเงินสด ในส่วนที่จ่ายเป็นเงินสดนั้นได้แยกจ่ายเป็นเช็คผู้ถือจากบัญชีของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด รวม 3 ฉบับ จำเลยได้มอบเช็คให้แก่ ส.เพียง 2 ฉบับ จำเลยจะอ้างเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งอาจเป็นปัญหาขึ้นมาเพื่อยึดถือเอาเช็คฉบับที่ 3 จำนวนเงิน 280,000 บาท ไว้เป็นประกันค่าเสียหายค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการซื้อขายที่ดินแปลงที่ 5 โดยไม่มีกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการใด ๆ ให้อำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นหาได้ไม่ หากจะมีปัญหาขึ้นมาในอนาคตว่าที่ดินแปลงที่ 5 มีการรุกล้ำป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่เพียงใด ก็เป็นปัญหาที่จะไปแก้ไขกันในเรื่องที่ดินแปลงที่ 5 นั้น จำเลยไม่มีอำนาจหรือหน้าที่เข้าไปแก้ไขปัญหาล่วงหน้าเช่นนั้นด้วยการยึดเช็คที่ชำระราคาค่าที่ดินแปลงที่ 4 ให้แก่ ร.ผู้ขายมาเข้าบัญชีธนาคารในนามของตนได้ ทั้งเมื่อปรากฏว่าไม่มีปัญหาใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินแปลงที่ 5 การที่จำเลยยึดเช็คไว้เช่นนี้จึงไม่ชอบและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ร.ที่ไม่สามารถได้รับชำระราคาค่าที่ดินจำนวน 280,000 บาท ตามวันสั่งจ่ายในเช็คได้ นอกจากนี้หลังจากจำเลยนำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากของตนแล้วจำเลยได้เบิกถอนเงินจากบัญชีนั้นเป็นระยะ ๆ ไป อันแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าที่จำเลยเบิกถอนมาเพื่อประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น แม้ต่อมาจำเลยจะได้คืนเงินให้แก่ ร.และตัวแทนเรียบร้อยแล้ว และ ร.หรือ ส.ผู้รับมอบอำนาจ มิได้โต้แย้งหรือร้องเรียนว่าไม่เต็มใจหรือถูกจำเลยเพทุบายให้ยึดเช็คดังกล่าวก็ตาม การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ร.และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2781/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายลดเช็ค: สิทธิเรียกร้องหนี้, การยึดเช็คเป็นหลักฐาน, และผลกระทบต่อผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายว่าจำเลยนำเช็คไปขายลดเท่าใด ชำระแล้วเท่าใด ค้างอีกเท่าใด แต่จำเลยที่ 1ที่ 2 อุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ทราบยอดหนี้ที่แน่นอน ทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหา ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง อุทธรณ์ของจำเลย-ที่ 1 ที่ 2 จึงแตกต่างไปจากที่ให้การต่อสู้คดีไว้ และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยตามป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดี มี น.ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความรับรอง และยืนยันว่าได้มอบอำนาจให้ตนฟ้องคดีจริง แม้จะไม่ได้นำผู้มอบอำนาจมาเบิกความเป็นพยาน เมื่อจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง ย่อมฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ น.ฟ้องคดีจริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค เมื่อเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลดเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยึดเช็คดังกล่าวไว้เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คได้
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คให้โจทก์ แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 จึงสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้แทนเพื่อเป็นประกันเช็คที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ โดยไม่มีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องคืนเช็คที่ขายลด ดังนี้ การสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้โจทก์ไป จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้และตามพฤติการณ์ถือว่าจำเลยที่ 1ยินยอมให้โจทก์ยึดถือเช็คที่ขายลดไว้ได้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะอ้างเหตุที่โจทก์ไม่คืนเช็คที่ทำสัญญาขายลดไว้ เพื่อปัดความรับผิดไม่ต้องชำระหนี้หาได้ไม่
การที่ น. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่หลังจากฟ้องแล้ว ทราบว่าจำเลยนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์แต่จะเป็นจำนวนเท่าใดจำไม่ได้นั้น เป็นการเบิกความยืนยันว่า ขณะโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นหนี้อยู่ตามฟ้อง เมื่อฟ้องแล้วหนี้ได้ลดลงเพราะได้มีการชำระหนี้กันบางส่วน เพียงแต่จำนวนเท่าใดจำไม่ได้เท่านั้น ทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับฟ้อง
แม้จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องจำนวนเงินที่ตนจะต้องรับผิด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงิน 2,000,000 บาท และอุปกรณ์แห่งหนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบ 247
ใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดี มี น.ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความรับรอง และยืนยันว่าได้มอบอำนาจให้ตนฟ้องคดีจริง แม้จะไม่ได้นำผู้มอบอำนาจมาเบิกความเป็นพยาน เมื่อจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง ย่อมฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ น.ฟ้องคดีจริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค เมื่อเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลดเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยึดเช็คดังกล่าวไว้เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คได้
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คให้โจทก์ แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 จึงสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้แทนเพื่อเป็นประกันเช็คที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ โดยไม่มีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องคืนเช็คที่ขายลด ดังนี้ การสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้โจทก์ไป จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้และตามพฤติการณ์ถือว่าจำเลยที่ 1ยินยอมให้โจทก์ยึดถือเช็คที่ขายลดไว้ได้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะอ้างเหตุที่โจทก์ไม่คืนเช็คที่ทำสัญญาขายลดไว้ เพื่อปัดความรับผิดไม่ต้องชำระหนี้หาได้ไม่
การที่ น. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่หลังจากฟ้องแล้ว ทราบว่าจำเลยนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์แต่จะเป็นจำนวนเท่าใดจำไม่ได้นั้น เป็นการเบิกความยืนยันว่า ขณะโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นหนี้อยู่ตามฟ้อง เมื่อฟ้องแล้วหนี้ได้ลดลงเพราะได้มีการชำระหนี้กันบางส่วน เพียงแต่จำนวนเท่าใดจำไม่ได้เท่านั้น ทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับฟ้อง
แม้จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องจำนวนเงินที่ตนจะต้องรับผิด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงิน 2,000,000 บาท และอุปกรณ์แห่งหนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบ 247