พบผลลัพธ์ทั้งหมด 10 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์โดยมีพยานหลักฐานยืนยันการกระชากสร้อยคอของผู้เสียหาย แม้จำเลยอ้างพยานเบิกความแตกต่างกัน ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
ผู้เสียหายกับภริยาต่างยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระชากสร้อยคอผู้เสียหายไป ผู้เสียหายและภริยาต่างรู้จักกับจำเลย มีบ้านอยู่ในซอยเดียวกัน และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความ พาเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุ และตามจับจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์มั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยกระชากสร้อยคอผู้เสียหายจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่า, ฆ่าผู้อื่น, และมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาชั้นต้นและอุทธรณ์
คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกตลอดชีวิต โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยที่ 2ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าไม่ได้กระทำผิดในข้อหาดังกล่าวนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2257/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยใช้ไม้เนื้อแข็งกว้าง2นิ้วฟุตยาว80เซนติเมตรซึ่งเป็นไม้ขนาดโตตีผู้ตายที่ใบหน้า1ทีผู้ตายล้มคว่ำหน้าลงกับพื้นแล้วตีที่ศีรษะด้านหลังอย่างสุดแรงอีก1ทีเช่นนี้ไม้ที่ใช้ตีอาจใช้ทำร้ายร่างกายให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้และเป็นการตีที่อวัยวะสำคัญแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งประเด็น, เอกสารหลักฐาน, และหน้าที่ตามสัญญา: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขประเด็นหน้าที่นำสืบใหม่และระบุว่าหากศาลพิพากษาเห็นว่าไม่ควรแก้ไขให้ถือตามประเด็นเดิม จำเลยก็จะถือคำร้องฉบับนี้ เป็นคำร้องคัดค้านการกำหนดประเด็น เพื่อประโยชน์ในการอุทธรณ์ฎีกานั้น เป็นแต่เพียงการแสดงความประสงค์ของจำเลยไว้ล่วงหน้า ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่ง ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งของศาลตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
เอกสารท้ายคำให้การยอ่มถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การด้วย เมื่อเอกสาร ล.1ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความเป็นอย่างเดียวกับสำเนาสัญญาการจำหน่ายแก๊สปิโตรเลี่ยมท้ายคำให้การจำเลย ดังนั้น แม้โจทก์มิได้ระบุอ้างเอกสาร ล.1ก็เป็นอำนาของศาลที่จะหยิบยกเอาข้อความในเอกสาร ล.1 ซึ่งเป็นประเด็นและพยนหลักฐานในสำนวนนี้ขึ้นมาเป็นข้อวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
เอกสารท้ายคำให้การยอ่มถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การด้วย เมื่อเอกสาร ล.1ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความเป็นอย่างเดียวกับสำเนาสัญญาการจำหน่ายแก๊สปิโตรเลี่ยมท้ายคำให้การจำเลย ดังนั้น แม้โจทก์มิได้ระบุอ้างเอกสาร ล.1ก็เป็นอำนาของศาลที่จะหยิบยกเอาข้อความในเอกสาร ล.1 ซึ่งเป็นประเด็นและพยนหลักฐานในสำนวนนี้ขึ้นมาเป็นข้อวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มูลหนี้จากสัญญาซื้อขายที่ดินสำคัญกว่าเช็คค้างชำระ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 14664ของโจทก์ราคา 113,000 บาท. จำเลยชำระค่าที่ดินให้โจทก์โดยเช็คสองฉบับ ฉบับหนึ่งเงิน 13,000 บาท อีกฉบับหนึ่งเงิน 100,000 บาท. จำเลยได้รับโอนที่ดินจากโจทก์ไปเรียบร้อยในวันซื้อขาย. เช็คฉบับเงิน 100,000 บาท โจทก์นำไปขึ้นเงินไม่ได้. คงขึ้นเงินได้แต่เฉพาะเช็คฉบับเงิน 13,000 บาท. จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 100,000บาท. โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท หลายครั้ง. จำเลยก็ไม่ชำระ. โจทก์จึงฟ้อง ตามคำฟ้องดังกล่าวแสดงว่า ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกร้องโดยอาศัยสิทธิอันมีมูลหนี้มาจากสัญญาซื้อขายที่ดิน ซึ่งจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่. การที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงเรื่องเช็คมาด้วย ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระราคาที่ดินจากจำเลยเท่านั้น. มิใช่ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค.
ฎีกาที่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว. ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น. ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ฎีกาที่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว. ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น. ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2000/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธมีด ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยกับผู้ตายเคยโกรธเคืองกันมาก่อน เมื่อจำเลยใช้มีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบแทงผู้ตายที่ท้องเสยมีดขึ้นทำให้เป็นแผลยาว9ซม. กว้าง 4 ซม.จนลำไส้ทลัก ดังนี้แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาโทษกักกัน แม้ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาเดิม
ในคดีอาญาที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปีและให้กักกันมีกำหนด 7 ปี นั้น แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืน จำเลยก็มีสิทธิฎีกาขอให้ยกหรือลดโทษกักกันได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2481
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษกักกันในชั้นอุทธรณ์และการยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตาม ม.288 และส่งไปกักกัน 5 ปีศาลอุทธรณ์แก้ให้ส่งไปกักกันพียง 3 ปี ดังนี้เป็นแก้น้อยฎีกาในข้อเท็จจริงมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10839/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขัดแย้งคำพิพากษาต่างศาล: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม แม้มีคำพิพากษาจากศาลต่างประเทศ
ตามคำร้องของจำเลยอ้างเหตุว่า ในมูลหนี้เดียวกันนี้และก่อนฟ้องคดีนี้ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง โจทก์ได้ฟ้องคดีต่อ "The High Court of Justice, Queen's Bench Division, Commercial Court" ประเทศสหราชอาณาจักร จนศาลดังกล่าวมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระเงิน จำนวน996,498 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,687,289.24 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จึงเป็นกรณีคำพิพากษาของศาลต่างรัฐกันขัดแย้งกันเรื่องจำนวนหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ ทั้งโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าวไปแล้วบางส่วนด้วย หากบังคับคดีนี้ต่อไป จำเลยจะได้รับความเสียหายเกินความจำเป็น เมื่อพิจารณาคำร้องและอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว เข้าใจได้ว่าเหตุที่มีความประสงค์จะขอให้ศาลงดการบังคับคดีเนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกากับคำพิพากษา "The High Court of Justice" ขัดแย้งกันในเรื่องจำนวนหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระ เห็นว่า จำเลยไม่ได้อ้างเหตุที่งดการบังคับคดี แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามที่จำเลยอ้าง ก็ไม่มีเหตุที่จะงดการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3279/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษร่วมกัน แม้จำเลยไม่ได้รับการแต่งตั้งทนายความในชั้นพิจารณา ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
ในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 66 วรรคสาม อันเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต ซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นบัญญัติว่า "ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้" ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยทั้งสองเรื่องทนายความแล้ว จำเลยที่ 1 แถลงไม่ต้องการทนายความแต่ศาลชั้นต้นให้มีหนังสือขอแรงทนายความให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งรวมถึงจำเลยที่ 1 แต่หลังจากนั้นมีการตั้งทนายความให้จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวแล้วดำเนินคดีไปจนเสร็จการพิจารณา โดยไม่มีการตั้งทนายความให้จำเลยที่ 1 ด้วย แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาก็ตาม แต่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 พอใจในผลแห่งคำพิพากษาแล้ว โดยเห็นได้จากจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ กับเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีฝิ่นเพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่ง โดยเพิ่มเติมโทษขึ้นอีกตามอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ก็มิได้ฎีกาโต้เถียงแต่อย่างใด และเนื่องจากศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย แสดงว่าข้อเท็จจริงในส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีทนายความในการต่อสู้คดีก็รับฟังได้มั่นคงเช่นนั้น เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่ใช้พิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 2 ก็เป็นพยานหลักฐานเดียวกันกับที่ใช้พิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 1 จึงเห็นได้ว่าการทำหน้าที่ของทนายจำเลยที่ 2 ในการดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 2 มีผลเป็นการดูแลคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ด้วยในตัว ดังนี้ จำเลยที่ 1 จะมีทนายความในการดำเนินกระบวนพิจารณาหรือไม่ย่อมไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ทั้งปรากฏด้วยว่า ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแก่จำเลยที่ 1 ไปแล้วกว่า 2 ปี ด้วย ซึ่งทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับสิทธิในฐานะนักโทษเด็ดขาดไปบ้างแล้ว แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ก็ตาม แต่ศาลฎีกาไม่เห็นเป็นการจำเป็นที่จะพิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาหรือสั่งใหม่ตามรูปคดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225