พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอมประเภทต่างๆ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ถูกลักมา มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและเอกสารราชการปลอม
มีคนร้ายลักเอารถยนต์คันของกลางของผู้เสียหายไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์ดังกล่าวได้จากจำเลย รถที่ยึดได้มีการติดแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปีและแผ่นป้ายทะเบียนรถซึ่งเป็นของปลอม รถยนต์ที่จำเลยขับได้ติดเอกสารปลอมทั้งหมดไว้ที่รถในลักษณะเปิดเผยเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจหรือผู้อื่นที่พบเห็นเข้าใจว่าเอกสารปลอมเหล่านั้นเป็นเอกสารที่แท้จริงและเข้าใจว่ารถยนต์ที่จำเลยขับเป็นรถยนต์ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยจำเลยก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่ถูกคนร้ายลักมาและจำเลยจะนำรถยนต์ของกลางไปขาย ถือได้ว่าเป็นการใช้เอกสารปลอมโดยเจตนา จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม
จำเลยได้ใช้เอกสารคือแผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม ใช้แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปี พ.ศ. 2540 ปลอม ซึ่งเป็นความผิด ป.อ.มาตรา268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 และใช้แผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอันเป็นความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 สำหรับการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถปลอมและการใช้แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปีพ.ศ. 2540 ปลอม โดยปิดไว้ที่รถยนต์ของกลางคันเดียวกัน โดยมีเจตนาอย่างเดียวกันคือเพื่อให้เจ้าพนักงานเห็นว่ารถยนต์ของกลางคันที่จำเลยขับได้จดทะเบียนและเสียภาษีถูกต้องเพื่อจำเลยจะใช้รถยนต์โดยชอบ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ส่วนการใช้แผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอันเป็นความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 นั้น แม้จะใช้พร้อมกับแผ่นป้ายทะเบียนรถและแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์ในคราวเดียวกัน แต่ก็เป็นเอกสารคนละประเภทและมีเจตนาก่อให้เกิดผลต่างกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระแยกจากกันต่างหากจากความผิดฐานใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถและแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีปลอม เป็นความผิดสองกระทง ต้องเรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 91
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยใช้เอกสารปลอมทั้งสามรายการในคราวเดียวกันเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์กระบะของผู้เสียหายที่จำเลยขับไปมีหมายเลขทะเบียนตามที่ระบุในเอกสารปลอมเหล่านั้น จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษตาม มาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวนั้นเป็นการไม่ชอบแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ดังนี้ เมื่อโจทก์ฎีกา และศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียใหม่ให้ถูกต้อง แต่ให้ลงโทษจำเลยไม่เกินโทษที่ศาลชั้นต้นวางไว้ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ.มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
จำเลยได้ใช้เอกสารคือแผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม ใช้แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปี พ.ศ. 2540 ปลอม ซึ่งเป็นความผิด ป.อ.มาตรา268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 และใช้แผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอันเป็นความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 สำหรับการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถปลอมและการใช้แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปีพ.ศ. 2540 ปลอม โดยปิดไว้ที่รถยนต์ของกลางคันเดียวกัน โดยมีเจตนาอย่างเดียวกันคือเพื่อให้เจ้าพนักงานเห็นว่ารถยนต์ของกลางคันที่จำเลยขับได้จดทะเบียนและเสียภาษีถูกต้องเพื่อจำเลยจะใช้รถยนต์โดยชอบ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ส่วนการใช้แผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอันเป็นความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 นั้น แม้จะใช้พร้อมกับแผ่นป้ายทะเบียนรถและแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์ในคราวเดียวกัน แต่ก็เป็นเอกสารคนละประเภทและมีเจตนาก่อให้เกิดผลต่างกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระแยกจากกันต่างหากจากความผิดฐานใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถและแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีปลอม เป็นความผิดสองกระทง ต้องเรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 91
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยใช้เอกสารปลอมทั้งสามรายการในคราวเดียวกันเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์กระบะของผู้เสียหายที่จำเลยขับไปมีหมายเลขทะเบียนตามที่ระบุในเอกสารปลอมเหล่านั้น จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษตาม มาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวนั้นเป็นการไม่ชอบแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ดังนี้ เมื่อโจทก์ฎีกา และศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียใหม่ให้ถูกต้อง แต่ให้ลงโทษจำเลยไม่เกินโทษที่ศาลชั้นต้นวางไว้ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ.มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6819/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขับรถยนต์ที่ถูกลักมาพร้อมแผ่นป้ายทะเบียนปลอม มีความผิดฐานรับของโจรและใช้เอกสารปลอมแยกกระทง
แม้ตามพยานหลักฐานจะไม่ปรากฏว่า จำเลยเป็นผู้ปลอมแปลงแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ แต่การที่จำเลยขับรถยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปและติดแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ซึ่งจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นแผ่นป้ายการเขียนปลอมไปตามทางสาธารณะ โดยมุ่งหมายให้ประชาชนผู้พบเห็นเข้าใจว่าเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ของทางราชการ ก็เป็นการใช้หรืออ้างเอกสารแผ่นป้ายทะเบียนรถเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 อีกกระทงหนึ่งซึ่งแยกออกจากกระทงความผิดฐานรับของโจร แม้ฎีกาของจำเลยในส่วนที่ว่าศาลฎีกาสมควรพิพากษาลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดทั้งสองฐานหรือไม่ จะเป็นฎีกาในดุลพินิจของศาลอันเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ก็ตามแต่เมื่อจำเลยฎีกาในข้อแรกเป็นปัญหาข้อกฎหมายมาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยลงโทษจำเลยและลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 ให้เหมาะสมแก่ความผิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2708/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้เช่าซื้อ, การรับประกันภัย, และการเรียกโจทก์ร่วม กรณีรถยนต์ถูกลัก
โจทก์ได้เช่าซื้อรถยนต์ที่ถูกลักไปจากโจทก์ร่วม และได้เป็นผู้ร่วมเอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้แก่จำเลย โจทก์จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมก็ไม่ฟ้องจำเลยให้รับผิด โจทก์ย่อมเสียหาย ถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยและมีสิทธิเรียกผู้ให้เช่าซื้อเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยเนื่องจากเป็นผู้รับประโยชน์และมีส่วนได้เสียโดยตรงอันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นจำเป็นที่จะเรียกเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในรายการ 7 ของตารางกรมธรรม์ประกันภัยมีว่า "ยกเว้นการใช้เพิ่มเติม ห้ามรับจ้างหรือให้เช่า" แต่ขณะที่คนร้ายลักเอารถยนต์ไปรถยนต์จอดอยู่ ณ ที่เก็บมิได้ถูกลักไปในขณะที่ใช้งานรับจ้างอันเป็นการผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่อย่างใด การที่โจทก์ใช้รถยนต์รับจ้างมิได้เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้รถยนต์ถูกคนร้ายลักไป จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญา
ก่อนวันสืบพยานศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามคำขอของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำขอของโจทก์ให้แก่จำเลย แต่เมื่อจำเลยทราบความข้อนี้แล้วก็มิได้คัดค้านหรือขอแก้ไขคำให้การเพราะการที่โจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีแต่อย่างใดปัญหาว่าการเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
โจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีตามคำขอของโจทก์ มิได้ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยความสมัครใจเอง โจทก์ร่วมย่อมไม่อาจมีคำขอใดๆ ได้ เมื่อจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามคำฟ้อง และได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมได้โดยอาศัยคำขอและพยานหลักฐานของโจทก์นั้นเอง
ในรายการ 7 ของตารางกรมธรรม์ประกันภัยมีว่า "ยกเว้นการใช้เพิ่มเติม ห้ามรับจ้างหรือให้เช่า" แต่ขณะที่คนร้ายลักเอารถยนต์ไปรถยนต์จอดอยู่ ณ ที่เก็บมิได้ถูกลักไปในขณะที่ใช้งานรับจ้างอันเป็นการผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่อย่างใด การที่โจทก์ใช้รถยนต์รับจ้างมิได้เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้รถยนต์ถูกคนร้ายลักไป จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญา
ก่อนวันสืบพยานศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามคำขอของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำขอของโจทก์ให้แก่จำเลย แต่เมื่อจำเลยทราบความข้อนี้แล้วก็มิได้คัดค้านหรือขอแก้ไขคำให้การเพราะการที่โจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีแต่อย่างใดปัญหาว่าการเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
โจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีตามคำขอของโจทก์ มิได้ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยความสมัครใจเอง โจทก์ร่วมย่อมไม่อาจมีคำขอใดๆ ได้ เมื่อจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามคำฟ้อง และได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมได้โดยอาศัยคำขอและพยานหลักฐานของโจทก์นั้นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2708/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้เช่าซื้อ, การรับประกันภัย, และการเรียกโจทก์ร่วม - กรณีรถยนต์ถูกลัก
โจทก์ได้เช่าซื้อรถยนต์ที่ถูกลักไปจากโจทก์ร่วม และได้เป็นผู้ร่วมเอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้แก่จำเลยโจทก์จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมก็ไม่ฟ้องจำเลยให้รับผิด โจทก์ย่อมเสียหาย ถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยและมีสิทธิเรียกผู้ให้เช่าซื้อเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยเนื่องจากเป็นผู้รับประโยชน์และมีส่วนได้เสียโดยตรงอันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นจำเป็นที่จะเรียกเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในรายการ 7 ของตารางกรมธรรม์ประกันภัยมีว่า 'ยกเว้นการใช้เพิ่มเติม ห้ามรับจ้างหรือให้เช่า' แต่ขณะที่คนร้ายลักเอารถยนต์ไป รถยนต์จอดอยู่ ณ ที่เก็บมิได้ถูกลักไปในขณะที่ใช้งานรับจ้างอันเป็นการผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่อย่างใด การที่โจทก์ใช้รถยนต์รับจ้างมิได้เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้รถยนต์ถูกคนร้ายลักไป จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญา
ก่อนวันสืบพยานศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามคำขอของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำขอของโจทก์ให้แก่จำเลย แต่เมื่อจำเลยทราบความข้อนี้แล้วก็มิได้คัดค้านหรือขอแก้ไขคำให้การเพราะการที่โจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีแต่อย่างใดปัญหาว่าการเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
โจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีตามคำขอของโจทก์ มิได้ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยความสมัครใจเอง โจทก์ร่วมย่อมไม่อาจมีคำขอใดๆ ได้ เมื่อจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามคำฟ้อง และได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมได้โดยอาศัยคำขอและพยานหลักฐานของโจทก์นั้นเอง
ในรายการ 7 ของตารางกรมธรรม์ประกันภัยมีว่า 'ยกเว้นการใช้เพิ่มเติม ห้ามรับจ้างหรือให้เช่า' แต่ขณะที่คนร้ายลักเอารถยนต์ไป รถยนต์จอดอยู่ ณ ที่เก็บมิได้ถูกลักไปในขณะที่ใช้งานรับจ้างอันเป็นการผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่อย่างใด การที่โจทก์ใช้รถยนต์รับจ้างมิได้เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้รถยนต์ถูกคนร้ายลักไป จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญา
ก่อนวันสืบพยานศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามคำขอของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำขอของโจทก์ให้แก่จำเลย แต่เมื่อจำเลยทราบความข้อนี้แล้วก็มิได้คัดค้านหรือขอแก้ไขคำให้การเพราะการที่โจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีแต่อย่างใดปัญหาว่าการเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
โจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีตามคำขอของโจทก์ มิได้ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยความสมัครใจเอง โจทก์ร่วมย่อมไม่อาจมีคำขอใดๆ ได้ เมื่อจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามคำฟ้อง และได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมได้โดยอาศัยคำขอและพยานหลักฐานของโจทก์นั้นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชดใช้ค่าเสียหายจากประกันภัยและการคืนเงินจากรถยนต์ที่ถูกลัก การเรียกร้องค่าซ่อมรถจากจำเลยไม่มีสิทธิ
จำเลยได้รถยนต์คันพิพาทมาจากผู้มีชื่อโดยการตีราคาแลกเปลี่ยนกับรถยนต์คันเดิมของจำเลย ต่อมารถพิพาทถูกรถยนต์คันซึ่งเอาประกันภัยไว้กับบริษัทโจทก์ชนเสียหายโดยฝ่ายหลังเป็นฝ่ายผิด เป็นเหตุให้บริษัทโจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดในผลแห่งความเสียหายต่อจำเลย โจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยโอนรถพิพาทให้โจทก์และโจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลย 65,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้ขายรถยนต์พิพาทให้ ส. เป็นเงิน 35,000 บาท ส.ได้นำไปซ่อมเสียค่าซ่อมไป 15,000 บาท ความปรากฏต่อเจ้าพนักงานต่อมาว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้อื่นที่ถูกลักไป จึงยึดและคืนให้แก่เจ้าของ ส.จึงฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้โจทก์คืนเงินราคารถยนต์ที่รับไว้จาก ส. 35,000 บาท และค่าซ่อมอีก 15,000 บาทแก่ ส. โจทก์จึงมาฟ้องเรียกเงิน 65,000 บาท กับค่าซ่อมรถที่โจทก์จ่ายให้ ส. ไป 15,000 บาทจากจำเลย ดังนี้ การที่โจทก์ยอมใช้เงิน (65,000 บาท) ให้จำเลยแล้วรับโอนรถพิพาทไปก็เพราะโจทก์มีความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อจำเลยในมูลประกันภัยเป็นคนละเรื่องกับการที่โจทก์ได้ขายรถให้ ส.ไป เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์เต็มตามจำนวน 65,000 บาทแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิจะเอาเรื่องความรับผิดในการรอนสิทธิในระหว่าง ส.กับโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อเอาเงินค่าซ่อมรถจากจำเลยอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชดใช้ค่าเสียหายจากประกันภัยและการคืนเงินกรณีรถยนต์ถูกลัก - สิทธิเรียกร้องเมื่อรถยนต์ถูกอายัด
จำเลยได้รถยนต์คันพิพาทมาจากผู้มีชื่อโดยการตีราคาแลกเปลี่ยนกับรถยนต์คันเดิมของจำเลยต่อมารถพิพาทถูกรถยนต์คันซึ่งเอาประกันภัยไว้กับบริษัทโจทก์ชนเสียหายโดยฝ่ายหลังเป็นฝ่ายผิด เป็นเหตุให้บริษัทโจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดในผลแห่งความเสียหายต่อจำเลยโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยโอนรถพิพาทให้โจทก์และโจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลย 65,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้ขายรถยนต์พิพาทให้ ส. เป็นเงิน 35,000 บาทส. ได้นำไปซ่อมเสียค่าซ่อมไป 15,000บาท ความปรากฏต่อเจ้าพนักงานต่อมาว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้อื่นที่ถูกลักไป จึงยึดและคืนให้แก่เจ้าของ ส. จึงฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้โจทก์คืนเงินราคารถยนต์ที่รับไว้จาก ส. 35,000 บาทและค่าซ่อมอีก 15,000 บาทแก่ส. โจทก์จึงมาฟ้องเรียกเงิน 65,000 บาท กับค่าซ่อมรถที่โจทก์จ่ายให้ ส. ไป15,000 บาท จากจำเลย ดังนี้ การที่โจทก์ยอมใช้เงิน (65,000บาท) ให้จำเลยแล้วรับโอนรถพิพาทไปก็เพราะโจทก์มีความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อจำเลยในมูลประกันภัยเป็นคนละเรื่องกับการที่โจทก์ได้ขายรถให้ ส. ไป เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์เต็มตามจำนวน 65,000 บาท แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิจะเอาเรื่องความรับผิดในการรอนสิทธิในระหว่าง ส. กับโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อเอาเงินค่าซ่อมรถจากจำเลยอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้เช่าซื้อในกรณีรถยนต์ถูกลัก และผลกระทบจากข้อสัญญา
ข้อสัญญาว่าผู้เช่าซื้อต้องรับผิดแม้ในเหตุสุดวิสัยหมายความรวมถึงรถยนต์ที่เช่าซื้อถูกลักไปด้วยศาลกำหนดให้ผู้เช่าซื้อใช้ราคารถตามที่กำหนดในสัญญาหักด้วยเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้ว