พบผลลัพธ์ทั้งหมด 21 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองชั่วคราวในคดีรอนสิทธิ – ที่ดินป่าช้า การรบกวนสิทธิและสภาพสถานที่
จำเลยที่ 1 ใช้ให้คนงานเข้ารื้อรั้วป่าช้าจีนบ้าบ๋าทำให้รั้วเสียหายและเข้าไปจัดตกแต่งสถานที่ทำเป็นร้านขายอาหารและให้รถยนต์เข้าไปจอดโดยเก็บค่าจอดรถการกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการรบกวนและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ที่ดินพิพาทเป็นป่าช้าใช้ฝังศพไม่เหมาะที่จะมาใช้เป็นร้านขายอาหารโต้รุ่ง และที่จอด รถยนต์ กรณีมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวตามที่โจทก์ขอมาใช้ได้ เหตุผลที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกมาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สภาพสุสานและโจทก์แม้จะไม่ตรงกับเหตุผลตามคำร้องของ โจทก์ที่อ้างเฉพาะเรื่องการรบกวนความสงบของสถานที่แต่การที่ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาต้องพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ประกอบด้วย เมื่อคำฟ้องของโจทก์มีข้อความระบุไว้โดยชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยที่ 1เป็นการรบกวนและโต้แย้งสิทธิของโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เหตุผลที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินที่มีสิ่งปลูกสร้างของผู้อื่น ผู้ซื้อทราบข้อเท็จจริงก่อนทำสัญญา ผู้ขายไม่ต้องรับผิด
หนังสือที่จำเลยที่1มีไปถึงโจทก์แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่1ตกลงขายที่ดินและอาคารให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์เสนอขอซื้อมีข้อความระบุไว้ชัดแจ้งว่าการตกลงขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไม่ได้รวมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นสำนักงานของจำเลยที่2พร้อมกับเครื่องจักรและเครื่องชั่งซึ่งปรากฏในแผนที่สังเขปตามที่จำเลยที่1ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าแล้วเพราะสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่1แต่โจทก์ก็ยังตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยที่1ดังนี้โจทก์ทราบถึงการรบกวนขัดสิทธิของจำเลยที่2ในที่ดินที่ซื้อแล้วแม้ว่าผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่ซื้อขายให้อยู่ในเงื้อมือของผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา461และ462และผู้ขายต้องรับผิดในกรณีที่มีผู้มาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุขตามมาตรา475แต่ในกรณีนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อทราบอยู่แล้วในเวลาซื้อขายว่ามีทรัพย์สินของจำเลยที่2อยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจำเลยที่1จึงไม่ต้องรับผิดในการรื้อถอนและขนย้ายเครื่องจักรเครื่องชั่งและค่าเสียหายแก่โจทก์ตามมาตรา476 จำเลยที่2รบกวนสิทธิของโจทก์ในการเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ซื้อมาโดยปกติสุขย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแม้จำเลยที่1ผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ก็ตามแต่เมื่ออาคารเครื่องจักรและเครื่องชั่งของจำเลยที่2ซึ่งได้จำนองไว้แก่จำเลยที่1ตั้งอยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากจำเลยที่1โดยไม่ปรากฏว่าได้จดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินจำเลยที่2จึงไม่อาจอ้างสิทธิใดๆที่จะคงอยู่บนที่ดินของโจทก์เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยที่2รื้อถอนไปภายใน15วันและจำเลยที่2ได้รับหนังสือบอกกล่าวนั้นแล้วในวันที่26พฤษภาคม2533จำเลยที่2จึงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายตั้งแต่วันที่27พฤษภาคม2533เป็นต้นไปพร้อมดอกเบี้ยของค่าเสียหายในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา224นับแต่ผิดนัดแต่ละเดือนไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9170/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวน: การรบกวนสิทธิระหว่างบุคคล แม้ไร้สิทธิโดยชอบธรรม
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ที่ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร เป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันผู้ที่ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนย่อมมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่น ดังนั้นหากโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินพิพาทอยู่ก่อนแล้วจำเลยบุกรุกไปครอบครอง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิและเรียกค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือที่ดินสาธารณสมบัติ: การรบกวนสิทธิและอำนาจฟ้องคดี
ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน มิใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ข้อหาบุกรุก
ในส่วนทางแพ่งนั้น แม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนที่จำเลยกับพวกจะนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักและอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ในระหว่างโจทก์จำเลย สิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทย่อมดีกว่าจำเลยการที่จำเลยที่ 1 กับพวกนำเอาเสาปูนซีเมนต์ไปปักในที่พิพาทดังกล่าวแล้วข้างต้น จึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้เพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้
คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การนำสืบข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเกิดจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบศาลมีอำนาจยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ในส่วนทางแพ่งนั้น แม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนที่จำเลยกับพวกจะนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักและอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ในระหว่างโจทก์จำเลย สิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทย่อมดีกว่าจำเลยการที่จำเลยที่ 1 กับพวกนำเอาเสาปูนซีเมนต์ไปปักในที่พิพาทดังกล่าวแล้วข้างต้น จึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้เพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้
คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การนำสืบข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเกิดจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบศาลมีอำนาจยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินสาธารณะ การรบกวนสิทธิ และอำนาจฟ้องคดี
ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มิใช่ของโจทก์ โจทก์ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุก แม้จะปรากฏว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน แต่เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนจำเลยกับพวก การที่จำเลยกับพวกเอาเสาปูนซิเมนต์ ไปปักในที่พิพาท จึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ลงโทษฐานบุกรุก และให้ใช้ค่าเสียหาย เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การนำสืบ ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลย ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ ข้อเท็จจริงจึงเกิดจากการ ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ศาลจึงมีอำนาจยกข้อเท็จจริงขึ้น วินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติโจทก์มีสิทธิ ครอบครอง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือที่ดินสาธารณะและการรบกวนสิทธิ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ มิใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้อง จำเลยข้อหาบุกรุกได้ ทำเลเลี้ยงสัตว์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนที่จำเลยจะนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักและอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย ในระหว่างโจทก์และจำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทย่อมดีกว่าจำเลยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปัก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362และให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทของโจทก์ซึ่งเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้ฟ้องโจทก์จะยืนยันว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็ตาม แต่การนำสืบข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเกิดจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือที่ดินสาธารณะ การรบกวนสิทธิ และอำนาจฟ้องคดีอาญา/แพ่ง
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์มิใช่ของโจทก์โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุกได้ ทำเลเลี้ยงสัตว์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนที่จำเลยจะนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักและอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยในระหว่างโจทก์และจำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทย่อมดีกว่าจำเลยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยบุกรุกนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362และให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทของโจทก์ซึ่งเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาแม้ฟ้องโจทก์จะยืนยันว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็ตามแต่การนำสืบข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเกิดจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3752/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองทำประโยชน์เหนือที่สาธารณะ – การรบกวนสิทธิ – อำนาจฟ้อง – ฟ้องไม่เคลือบคลุม
แม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดินซึ่งพลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกัน แต่เมื่อโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อน จำเลยเข้าไปแย่งการครอบครองทำประโยชน์เช่นนี้ในระหว่างโจทก์จำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทจึงดีกว่าจำเลย การที่จำเลยเข้าไปแย่งไถนาหว่านข้าวในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา 22 ปีแล้วทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว 2 เกวียนเป็นเงิน 6,400 บาท มิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่า ต่างคนต่างทำละเมิดต่อโจทก์ และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่า ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ 6,400 บาทดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา 22 ปีแล้วทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว 2 เกวียนเป็นเงิน 6,400 บาท มิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่า ต่างคนต่างทำละเมิดต่อโจทก์ และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่า ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ 6,400 บาทดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3752/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองทำประโยชน์เหนือที่สาธารณะ – การรบกวนสิทธิ – อำนาจฟ้อง – ฟ้องเคลือบคลุม
แม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดินซึ่งพลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกัน แต่เมื่อโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนจำเลยเข้าไปแย่งการครอบครองทำประโยชน์เช่นนี้ในระหว่างโจทก์จำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทจึงดีกว่าจำเลยการที่จำเลยเข้าไปแย่งไถนาหว่านข้าวในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา 22 ปีแล้วทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว 2 เกวียนเป็นเงิน 6,400 บาท มิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่า ต่างคนต่างทำละเมิดต่อโจทก์และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่า ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ 6,400 บาทดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา 22 ปีแล้วทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว 2 เกวียนเป็นเงิน 6,400 บาท มิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่า ต่างคนต่างทำละเมิดต่อโจทก์และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่า ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ 6,400 บาทดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3752/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองทำประโยชน์ในที่สาธารณะ: โจทก์มีอำนาจฟ้องรบกวนสิทธิได้ แม้เป็นที่สาธารณะ
แม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดินซึ่งพลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกันแต่เมื่อโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนจำเลยเข้าไปแย่งการครอบครองทำประโยชน์เช่นนี้ในระหว่างโจทก์จำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทจึงดีกว่าจำเลยการที่จำเลยเข้าไปแย่งไถนาหว่านข้าวในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ได้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา22ปีแล้วทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว2เกวียนเป็นเงิน6,400บาทมิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่าต่างคนต่างทำละเมิดต่อโจทก์และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่7ไร่2งานอยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่าขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ6,400บาทดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม.