คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รอการพิจารณา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5717/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการพิจารณาคดีเมื่อมีคดีอาญาเชื่อมโยง ศาลฎีกาไม่มีอำนาจสั่งรอ หากอุทธรณ์ยังไม่รับพิจารณา
แม้โจทก์จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางที่มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์เพราะเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต่อศาลฎีกาก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็ยังไม่ปรากฏว่าศาลฎีกามีคำสั่งให้รับคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาและได้มีการส่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ไปให้ศาลฎีกาพิจารณาแล้วแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้รอการพิจารณาคดีไว้ก่อนจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ศาลฎีกาไม่มีอำนาจพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาบัติปาราชิก: อำนาจฟ้องและหลักการรอการพิจารณาคดี
กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 18 และมาตรา 25แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ตราไว้ในหมวด 3 วิธีพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรม ข้อ 23 ว่า การพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมมี 3 ชั้นคือ (1) ชั้นต้น (2) ชั้นอุทธรณ์ (3) ชั้นฎีกา ข้อ 24 ว่า การพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น ให้เป็นอำนาจของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ฯลฯ ข้อ 25 ว่าการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นอุทธรณ์ ให้เป็นอำนาจของคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ ฯลฯ ข้อ 26 ว่า การพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นฎีกาให้เป็นอำนาจของมหาเถรสมาคม ข้อ 27 ว่า คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคมในกรณีพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมไม่ว่าในกรณีใดให้เป็นอันถึงที่สุด และข้อ 35 ว่า ก่อนพิจารณาหรือในระหว่างพิจารณาถ้าปรากฏว่า(1) เรื่องที่นำมาฟ้องนั้น ได้มีการฟ้องร้องกันในศาลฝ่ายราชอาณาจักรให้รอการพิจารณาเรื่องนั้นไว้ก่อน ฯลฯ เมื่อ อ.เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ต่อผู้พิจารณาเรื่องความผิดพระธรรมวินัยขั้นอาบัติปฐมปาราชิก ซึ่งคดีดังกล่าวคณะผู้พิจารณาชั้นต้นคือจำเลยที่ 1 และคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์คือจำเลยที่ 2 วินิจฉัยต้องกันว่าโจทก์ได้ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยขั้นอาบัติปฐมปาราชิก มีคำสั่งให้โจทก์สึกภายใน 24 ชั่วโมงแล้ว และโจทก์ได้ยื่นฎีกาต่อคณะผู้พิจารณาชั้นฎีกาคือจำเลยที่ 3 และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของจำเลยที่ 3 แล้ว โจทก์ก็ต้องรอฟังผลของคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 เสียก่อนว่าให้ยืน ยก แก้ หรือกลับคำวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ตามข้อ 45 ประกอบด้วยข้อ 53 ฉะนั้นเมื่อคดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของจำเลยที่ 3 โจทก์จะมาด่วนฟ้องว่าคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีดังกล่าวไม่ชอบจึงขอให้เพิกถอนหาได้ไม่ และจะขอให้จำเลยที่ 3 รอการพิจารณาการลงนิคหกรรมชั้นฎีกาไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคดีที่โจทก์ฟ้อง อ.กับพวก ที่ศาลแขวงพระนครเหนือและศาลอาญาหาได้ไม่เพราะคดีที่โจทก์ฟ้อง อ.กับพวกนั้นเป็นคนละเรื่องกันกับที่ อ.ฟ้องโจทก์ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำวินิจฉัยการลงนิคหกรรมและการรอการพิจารณาคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง
กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่11(พ.ศ.2521)ว่าด้วยการลงนิคหกรรมที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา18และมาตรา25แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ.2505ตราไว้ในหมวด3วิธีพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมข้อ23ว่าการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมมี3ชั้นคือ(1)ชั้นต้น(2)ชั้นอุทธรณ์(3)ชั้นฎีกาข้อ24ว่าการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้นให้เป็นอำนาจของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นฯลฯข้อ25ว่าการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นอำนาจของคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ฯลฯข้อ26ว่าการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นฎีกาให้เป็นอำนาจของมหาเถรสมาคมข้อ7ว่าคำสั่งหรือคำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคมในกรณีพิจารณาการลงนิคหกรรมไม่ว่าในกรณีใดให้เป็นอันถึงที่สุดและข้อ35ว่าก่อนพิจารณาหรือในระหว่างพิจารณาถ้าปรากฏว่า(1)เรื่องที่นำมาฟ้องนั้นได้มีการฟ้องร้องกันในศาลฝ่ายราชอาณาจักรให้รอการพิจารณาเรื่องนั้นไว้ก่อนฯลฯเมื่ออ. เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ต่อผู้พิจารณาเรื่องความผิดพระธรรมวินัยขั้นอาบัติปฐมปาราชิกซึ่งคดีดังกล่าวคณะผู้พิจารณาชั้นต้นคือจำเลยที่1และคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์คือจำเลยที่2วินิจฉัยต้องกันว่าโจทก์ได้ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมาวินัยขั้นอาบัติปฐมปาราชิกมีคำสั่งให้โจทก์สึกภายใน24ชั่วโมงแล้วและโจทก์ได้ยื่นฎีกาต่อคณะผู้พิจารณาชั้นฎีกาคือจำเลยที่3และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของจำเลยที่3แล้วโจทก์ก็ต้องรอฟังผลของคำวินิจฉัยของจำเลยที่3เสียก่อนว่าให้ยืนยกแก้หรือกลับคำวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ตามข้อ45ประกอบด้วยข้อ53ฉะนั้นเมื่อคดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของจำเลยที่3โจทก์จะมาด่วนฟ้องว่าคำวินิจฉัยของจำเลยที่1และที่2ในคดีดังกล่าวไม่ชอบจึงขอให้เพิกถอนหาได้ไม่และจะขอให้จำเลยที่3รอการพิจารณาการลงนิคหกรรมชั้นฎีกาไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคดีที่โจทก์ฟ้องอ.กับพวกที่ศาลแขวงพระนครเหนือและศาลอาญาหาได้ไม่เพราะคดีที่โจทก์ฟ้องอ.กับพวกนั้นเป็นคนละเรื่องกันกับที่อ.ฟ้องโจทก์โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการพิจารณาคดีไว้เพื่อรอผลคดีอาญา และการยอมรับผลคดีอาญาเป็นข้อตัดสินในคดีแพ่ง
ในระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลในคดีอาญา โดยให้ถือเอาผลของคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม ในวันนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับค่าเสียหายกันตามฟ้อง และโจทก์มิได้คัดค้านคำเสนอท้าของจำเลย คงตกลงกันให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีอาญาตามที่จำเลยร้องขอ ต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้วขอให้ศาลนำคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาและพิพากษาให้เป็นไปตามที่คู่ความแถลงรับไว้ก่อนรอคดีด้วย ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม ถึงวันนัดโจทก์แถลงรับว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว และคู่ความแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่ติดใจสืบพยานต่อไปขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้าของจำเลยซึ่งโจทก์เห็นชอบด้วยเช่นนี้ จึงฟังได้ว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ท้ากันให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้าที่จำเลยเสนอไว้ศาลจึงต้องพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้านั้น และถือว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายต่างสละประเด็นข้อพิพาทอื่นนอกจากคำท้าโดยสิ้นเชิง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมรับข้อเสนอคำท้าของจำเลยหลังรอผลคดีอาญา ศาลต้องพิจารณาพิพากษาตามข้อตกลง
ในระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลในคดีอาญา โดยให้ถือเอาผลของคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมในวันนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับค่าเสียหายกันตามฟ้อง และโจทก์มิได้คัดค้านคำเสนอท้าของจำเลย คงตกลงกันให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีอาญาตามที่จำเลยร้องขอต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้วขอให้ศาลนำคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาและพิพากษาให้เป็นไปตามที่คู่ความแถลงรับไว้ก่อนรอคดีด้วย ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม ถึงวันนัดโจทก์แถลงรับว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว และคู่ความแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่ติดใจสืบพยานต่อไปขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้าของจำเลยซึ่งโจทก์เห็นชอบด้วยเช่นนี้ จึงฟังได้ว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ท้ากันให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้าที่จำเลยเสนอไว้ศาลจึงต้องพิจารณาพิพากษาคดีไปตามคำท้านั้น และถือว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายต่างสละประเด็นข้อพิพาทอื่นนอกจากคำท้าโดยสิ้นเชิง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1680/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกเฉยฟ้องหลังรอฟังผลคดีอื่น ศาลจำหน่ายคดีได้
ในกรณีที่โจทก์ฎีกาและศาลฎีกาสั่งให้รอการพิจารณาคดีไว้เพื่อฟังผลของอีกคดีหนึ่งก่อน เมื่อคดีนั้นถึงที่สุดแล้วให้โจทก์แถลงให้ศาลทราบภายใน 10 วันนั้น หากคดีที่สั่งให้รอถึงที่สุด และโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติการดังข้อกำหนดของศาลแต่ประการใดแล้ว ก็ถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่นำพาในการดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนดเป็นการทิ้งฟ้อง ต้องจำหน่ายคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8049/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับระยะเวลาการยื่นคำให้การหลังศาลสั่งรอการพิจารณาคดีในคดีเยาวชนและครอบครัว
เจ้าหน้าที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2555 การส่งหมายมีผลเมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ต้องถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยต้องยื่นคำให้การภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ถือว่าได้รับหมาย
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนให้ประธานศาลฎีกาชี้ขาดและให้รอการพิจารณาพิพากษาไว้ชั่วคราว ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่ง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ไม่มีบทบัญญัตินิยามคำว่า "การพิจารณา" และ "กระบวนพิจารณา" จึงต้องนำบทนิยามตาม มาตรา 1 (4) และ 1 (7) แห่ง ป.วิ.พ. มาใช้โดยอนุโลม ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ดังนั้น การยื่นคำให้การของจำเลยซึ่งเป็น "กระบวนพิจารณา" อย่างหนึ่ง จึงจำต้องรอไว้ก่อน มีผลให้ระยะเวลานับแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2555 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของประธานศาลฎีกาดังกล่าวย่อมไม่นับรวมในกำหนดเวลาที่จะต้องยื่นคำให้การภายในสิบห้าวัน