พบผลลัพธ์ทั้งหมด 12 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4733/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าท่าเรือ: การบังคับใช้สัญญา, สิทธิเรียกค่าชดเชย, และระยะเวลาของสัญญา
ก่อนที่จะทำบันทึกการขอทดลองใช้ท่าเพื่อลดความคับคั่งจำเลยเคยมีหนังสือร้องขอโจทก์หลังจากนั้นมีการประชุมร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่บริหารของโจทก์และจำเลยเพื่อตกลงในรายละเอียดที่ประชุมเห็นพ้องร่วมกันกับข้อความในร่างบันทึกดังกล่าวและกำหนดแนวทางปฏิบัติโดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่14ตุลาคม2531บันทึกดังกล่าวก็ลงวันที่14ตุลาคม2531เช่นเดียวกันกับมีข้อความเหมือนกับร่างบันทึกดังกล่าวทุกประการแสดงว่าคู่กรณีต่างมีเจตนาตรงกันจึงได้ทำความตกลงตามข้อความในบันทึกดังกล่าวบันทึกดังกล่าวจึงใช้บังคับได้ส่วนการที่มีเพียงจำเลยฝ่ายเดียวลงชื่อในบันทึกหาทำให้ข้อตกลงตามบันทึกใช้บังคับไม่ได้ไม่เพราะเงื่อนไขและข้อตกลงในบันทึกเป็นการต่างตอบแทนซึ่งกันและกันเมื่อฝ่ายโจทก์ได้จัดให้จำเลยใช้ท่าเรือดังที่ระบุไว้ในบันทึกแล้วจำเลยย่อมต้องผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในบันทึกนั้นแม้โจทก์จะมิได้ลงชื่อในบันทึกก็ตามสัญญาต่างตอบแทนระหว่างโจทก์จำเลยในกรณีนี้เกิดขึ้นแล้วเพราะเป็นที่แน่ชัดว่าทั้งโจทก์จำเลยได้ตกลงกันในสาระสำคัญหมดทุกข้อถือว่ามีสัญญาต่อกันแล้วหาได้มีกรณีเป็นที่สงสัยดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา366ไม่ การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยหมายถึงลูกหนี้ไม่อาจปฏิบัติการชำระหนี้ได้เลยแต่ในกรณีของจำเลยปรากฏว่ามีบริษัทอื่นสามารถขนถ่ายสินค้าได้ตามจำนวนที่ตกลงกันไว้จึงหาใช่กรณีที่ไม่อาจปฏิบัติได้อันเป็นการพ้นวิสัยไม่ความสามารถในการขนถ่ายตู้สินค้าขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของกลุ่มเรือแต่ละกลุ่มเมื่อจำเลยไม่สามารถขนถ่ายตู้สินค้าได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินชดเชยการใช้ท่าจากจำเลยได้ตามข้อตกลงในบันทึกการขอทดลองใช้ท่าเพื่อลดความคับคั่ง ตามบันทึกการขอทดลองใช้ท่าเพื่อลดความคับคั่วข้อ4.1ระบุว่าหากจำเลยขนถ่ายตู้สินค้าเข้า-ออกได้ไม่เท่าจำนวนปีละ144,000ทีอียูจำเลยจะต้องจ่ายเงินชดเชยการใช้ท่าให้แก่โจทก์โดยคิดเมื่อครบรอบ1ปีหรือเมื่อโจทก์มีคำสั่งยกเลิกการใช้ท่าเพราะเห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามข้อตกลงต่อไปได้และข้อ4.3ระบุว่าหากจำเลยประสงค์จะเลิกการใช้ท่าให้แจ้งแก่โจทก์ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า3วันและหากขนถ่ายตู้สินค้าไม่ได้ตามเกณฑ์ในข้อ4.1ให้คิดเงินชดเชยโดยถือวันสุดท้ายที่เรือของจำเลยออกจากท่าเป็นวันรวมเวลาคำนวณจำนวนตู้ตามบันทึกดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่มิได้กำหนดเงื่อนเวลาสิ้นสุดไว้ข้อตกลงจะสิ้นสุดลงต่อเมื่อได้มีการบอกเลิกของคู่กรณีดังที่กำหนดไว้ส่วนระยะเวลา1ปีที่ระบุไว้ในข้อ4.1เป็นเพียงการกำหนดให้มีการคิดเงินชดเชยกันเมื่อครบรอบ1ปีแล้วเท่านั้นหาใช่เงื่อนเวลาสิ้นสุดของข้อตกลงตามบันทึกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7356/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่านา พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเกษตร: การเริ่มนับระยะเวลาสัญญา และการบอกเลิกสัญญา
ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยเป็นเรื่องการเช่านาไม่ว่าโจทก์จำเลยจะมีเจตนาที่จะให้การเช่านาระหว่างตนอยู่ภายใต้บังคับแห่งพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หรือไม่ก็ตาม การเช่านาของโจทก์จำเลยก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น แม้การเช่านาพิพาทตามหนังสือสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยจะกำหนดเวลาเช่าไว้ 1 ปีก็ตาม เมื่อ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ให้ถือว่ามีกำหนด6 ปี การเช่านาพิพาทย่อมมีกำหนดเวลา 6 ปี
การที่โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ เมื่อหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมครบกำหนดเวลาไปแล้ว โจทก์จำเลยคงต้องผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน ไม่ใช่ผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับก่อน ๆ ที่ครบกำหนดระยะเวลาการเช่าไปแล้ว และที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยว่าผิดสัญญาเช่านาก็โดยอาศัยหนังสือสัญญาเช่าตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ ดังนั้น การเริ่มนับระยะเวลา 6 ปี จึงต้องเริ่มนับตามตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ หาใช่เริ่มนับตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมไม่ ดังนั้น โจทก์ผู้ให้เช่านาจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาไม่ได้ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 31
ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่จำเลยขุดสระอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเรียกค่าเสียหายจากจำเลยแยกต่างหากเป็นเอกเทศไปจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทเพราะเหตุที่สัญญาเช่าครบกำหนด ความเสียหายของโจทก์ดังกล่าว ย่อมต้องถือว่าเป็นคำขอบังคับส่วนหนึ่งของข้อหาที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเพราะครบกำหนดอายุสัญญาเช่าแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว คำขอบังคับที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าวย่อมเป็นอันตกไป
การที่โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ เมื่อหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมครบกำหนดเวลาไปแล้ว โจทก์จำเลยคงต้องผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน ไม่ใช่ผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับก่อน ๆ ที่ครบกำหนดระยะเวลาการเช่าไปแล้ว และที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยว่าผิดสัญญาเช่านาก็โดยอาศัยหนังสือสัญญาเช่าตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ ดังนั้น การเริ่มนับระยะเวลา 6 ปี จึงต้องเริ่มนับตามตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ หาใช่เริ่มนับตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมไม่ ดังนั้น โจทก์ผู้ให้เช่านาจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาไม่ได้ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 31
ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่จำเลยขุดสระอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเรียกค่าเสียหายจากจำเลยแยกต่างหากเป็นเอกเทศไปจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทเพราะเหตุที่สัญญาเช่าครบกำหนด ความเสียหายของโจทก์ดังกล่าว ย่อมต้องถือว่าเป็นคำขอบังคับส่วนหนึ่งของข้อหาที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเพราะครบกำหนดอายุสัญญาเช่าแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว คำขอบังคับที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าวย่อมเป็นอันตกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2537 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของสัญญาค้ำประกัน: ค้ำประกันเฉพาะภายในระยะเวลาสัญญาเดิม
การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเพื่อค้ำประกันความรับผิดในการปฏิบัติตามสัญญาที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อมีกำหนด 2 ปี จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ภายในกำหนดเวลา2 ปี ตามสัญญาด้วย การที่โจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลัง เป็นการอนุมัตินอกเหนือระยะเวลาตามสัญญาที่จำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันความรับผิดไว้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับรู้เงื่อนไขในข้อนี้ด้วย จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากครบกำหนด 2 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันและผู้จำนองตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี โดยจำกัดเฉพาะหนี้ที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสัญญา
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองต่อโจทก์เพื่อประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งจำเลยที่ 1 ทำไว้แก่โจทก์ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระบุว่าให้มีกำหนดระยะเวลา 12 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเงินเกินบัญชีให้ถือตามบัญชีกระแสรายวัน ไม่มีข้อความใดในสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดในหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่มีอยู่ก่อนและภายหลังที่ครบกำหนด 12 เดือนตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ดังนั้นหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดก็คือหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่เกิดขึ้นในระหว่างระยะเวลา 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญา กับดอกเบี้ยซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ครบกำหนดระยะเวลานั้น ส่วนหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันทำสัญญาต้องนำมาหักออก
เมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 3 ซึ่งรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันไม่เต็มตามฟ้องความรับผิดของจำเลยที่ 3 ในค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ให้โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงควรมีเพียงเท่าค่าธรรมเนียมในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีต่อจำเลยที่ 3 เท่านั้น
เมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 3 ซึ่งรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันไม่เต็มตามฟ้องความรับผิดของจำเลยที่ 3 ในค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ให้โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงควรมีเพียงเท่าค่าธรรมเนียมในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีต่อจำเลยที่ 3 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1361/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาอันแท้จริงของสัญญาเช่า: การตีความสัญญาเช่าที่ขัดแย้งกับพฤติการณ์และระยะเวลาสัญญา
ในการตีความแสดงเจตนานั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร
จำเลยเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างให้ บ. ผู้ให้เช่าแล้วได้จดทะเบียนการเช่ามีกำหนด 20 ปี ย่อมแสดงถึงเจตนาของทั้งสองฝ่ายให้สัญญาเช่ามีผลผูกพันกัน 20 ปี เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โจทก์รับโอนตึกแถวพิพาทจาก บ. ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 เมื่อจำเลยเพิ่งอยู่ในตึกแถวพิพาทไม่ครบ 4 ปี การที่มีข้อสัญญาให้ผู้เช่ายอมออกจากตึกแถวที่เช่าในกรณีที่มีการขายทรัพย์สินที่เช่าก่อนครบกำหนดสัญญาเช่านั้น ข้อสัญญาดังกล่าวขัดกับเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดเวลาโดยอาศัยข้อสัญญาดังกล่าว
จำเลยเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างให้ บ. ผู้ให้เช่าแล้วได้จดทะเบียนการเช่ามีกำหนด 20 ปี ย่อมแสดงถึงเจตนาของทั้งสองฝ่ายให้สัญญาเช่ามีผลผูกพันกัน 20 ปี เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โจทก์รับโอนตึกแถวพิพาทจาก บ. ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 เมื่อจำเลยเพิ่งอยู่ในตึกแถวพิพาทไม่ครบ 4 ปี การที่มีข้อสัญญาให้ผู้เช่ายอมออกจากตึกแถวที่เช่าในกรณีที่มีการขายทรัพย์สินที่เช่าก่อนครบกำหนดสัญญาเช่านั้น ข้อสัญญาดังกล่าวขัดกับเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดเวลาโดยอาศัยข้อสัญญาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่ามีผลผูกพันตามระยะเวลาที่ตกลง แม้มีข้อตกลงบอกเลิกสัญญาล่วงหน้า ผู้รับโอนสิทธิย่อมผูกพันตามสัญญาเดิม
ผู้ให้เช่าเดิมทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวห้องพิพาทและจดทะเบียนการเช่าไว้มีกำหนดเวลา 10 ปี โดยจำเลยออกเงินช่วยค่าก่อสร้างห้องพิพาทให้เป็นเงิน 27,000 บาท เป็นสัญญาซึ่งแสดงเจตนาแท้จริงของคู่กรณีว่าให้สัญญาเช่ามีผลผูกพันบังคับต่อกันตามกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทนี้จึงต้องรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ตามข้อตกลงของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่าด้วย
เมื่อคู่สัญญามีเจตนาแท้จริงให้สัญญามีผลผูกพันต่อกันตามกำหนดเวลาดังกล่าวนี้ แม้ในสัญญาเช่าข้อ 10 จะมีข้อตกลงว่า "ในระหว่างสัญญาเช่า เมื่อผู้ให้เช่าจะต้องการบ้านหรือผู้เช่าจะต้องการคืนบ้าน จะต้องบอกให้รู้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนโดยมีกำหนด 60 วัน" ก็ต้องตีความตามเจตนาแท้จริงของคู่กรณีซึ่งมุ่งให้สัญญามีผลผูกพันต่อกันมีกำหนดเวลา 10 ปี โจทก์จะอาศัยสัญญาข้อนี้เพื่อบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาไม่ได้
ส่วนที่โจทก์อ้างว่าผู้ขายที่และตึกแถวพิพาทให้โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาข้อ 13 ซึ่งมีข้อตกลงว่า "ถ้าผู้ให้เช่าตกลงขายทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้ใดก่อนครบกำหนดการเช่าตามสัญญานี้ผู้ให้เช่าจะแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าเพื่อผู้เช่าเตรียมตัวออกจากทรัพย์สินที่เช่าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเดือน และผู้ให้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้เช่าทราบด้วยว่าจะตกลงขายแก่ผู้ใดเป็นเงินเท่าใด เพื่อผู้เช่าจะได้มีโอกาสตกลงซื้อได้ก่อนในเมื่อเห็นว่าราคาสมควร" แต่จำเลยไม่ยอมซื้อนั้น สัญญาข้อนี้ก็มิใช่ข้อตกลงให้ใช้สิทธิเลิกสัญญาได้ก่อนครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญา โจทก์จึงจะบอกเลิกสัญญา โดยอาศัยสัญญาข้อนี้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2514 เฉพาะวรรคแรกและวรรคสอง)
เมื่อคู่สัญญามีเจตนาแท้จริงให้สัญญามีผลผูกพันต่อกันตามกำหนดเวลาดังกล่าวนี้ แม้ในสัญญาเช่าข้อ 10 จะมีข้อตกลงว่า "ในระหว่างสัญญาเช่า เมื่อผู้ให้เช่าจะต้องการบ้านหรือผู้เช่าจะต้องการคืนบ้าน จะต้องบอกให้รู้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนโดยมีกำหนด 60 วัน" ก็ต้องตีความตามเจตนาแท้จริงของคู่กรณีซึ่งมุ่งให้สัญญามีผลผูกพันต่อกันมีกำหนดเวลา 10 ปี โจทก์จะอาศัยสัญญาข้อนี้เพื่อบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาไม่ได้
ส่วนที่โจทก์อ้างว่าผู้ขายที่และตึกแถวพิพาทให้โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาข้อ 13 ซึ่งมีข้อตกลงว่า "ถ้าผู้ให้เช่าตกลงขายทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้ใดก่อนครบกำหนดการเช่าตามสัญญานี้ผู้ให้เช่าจะแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าเพื่อผู้เช่าเตรียมตัวออกจากทรัพย์สินที่เช่าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเดือน และผู้ให้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้เช่าทราบด้วยว่าจะตกลงขายแก่ผู้ใดเป็นเงินเท่าใด เพื่อผู้เช่าจะได้มีโอกาสตกลงซื้อได้ก่อนในเมื่อเห็นว่าราคาสมควร" แต่จำเลยไม่ยอมซื้อนั้น สัญญาข้อนี้ก็มิใช่ข้อตกลงให้ใช้สิทธิเลิกสัญญาได้ก่อนครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญา โจทก์จึงจะบอกเลิกสัญญา โดยอาศัยสัญญาข้อนี้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2514 เฉพาะวรรคแรกและวรรคสอง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2058/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ไม่ได้จดทะเบียน และผลกระทบต่อผู้รับโอนทรัพย์สิทธิ สัญญาเช่าระยะเวลาเกิน 3 ปีมีผลบังคับใช้แค่ 3 ปี
สัญญาเช่าตึกมีกำหนดอายุการเช่า 10 ปี แต่มิได้จดทะเบียนการเช่า แม้จะเป็นการตอบแทนกับผู้ที่เช่าออกเงินช่วยค่าก่อสร้างตึกอันถือได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนในกรณีพิเศษนอกเหนือจากสัญญาเช่าธรรมดาก็ตาม ก็เป็นบุคคลสิทธิผูกพันระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันเจ้าของผู้รับโอนตึกนั้นไปภายหลัง
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์มีกำหนด 7 ปี ซึ่งมิได้จดทะเบียนการเช่าแต่แบ่งทำเป็น 3 ฉบับในคราวเดียวกันฉบับละ 3 ปี และฉบับที่ 3 มีกำหนด 1 ปีก็ถือว่ามีผลใช้ได้เพียง 3 ปีเท่านั้น.
จำเลยฎีกาว่าใช้ตึกพิพาทเป็นที่อยู่อาศัย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้จะปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ก็ตาม เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์มีกำหนด 7 ปี ซึ่งมิได้จดทะเบียนการเช่าแต่แบ่งทำเป็น 3 ฉบับในคราวเดียวกันฉบับละ 3 ปี และฉบับที่ 3 มีกำหนด 1 ปีก็ถือว่ามีผลใช้ได้เพียง 3 ปีเท่านั้น.
จำเลยฎีกาว่าใช้ตึกพิพาทเป็นที่อยู่อาศัย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้จะปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ก็ตาม เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าธรรมดา vs. สัญญาต่างตอบแทน, ระยะเวลาสัญญาเช่าที่ไม่จดทะเบียน, และการโอนสิทธิโดยไม่สุจริต
ในการทำสัญญาเช่าห้อง ผู้เช่าออกเงินให้ผู้ให้เช่า 5,000 บาท ในสัญญาเช่ากล่าวถึงว่าเป็นเงินค่าก่อสร้างค่าแป๊ะเจี๊ยะ เมื่อคดีได้ความว่าในขณะทำสัญญานี้ผู้ให้เช่ามีห้องพร้อมอยู่ แล้วไม่จำต้องก่อสร้างขึ้นแต่อย่างใด ดังนี้ เงินที่ผู้เช่าออกไปนั้น จึงไม่ใช่เงินค่าก่อสร้าง คงเป็นเงินกินเปล่าตามธรรมดาสัญญาเช่าจึงเป็นสัญญาเช่าธรรมดา ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน
สัญญาเช่าที่ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน เมื่อกำหนดระยะเวลาเช่าไว้ 10 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่านั้น คงบังคับกันได้เพียง 3 ปี
สัญญาเช่าที่ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน เมื่อกำหนดระยะเวลาเช่าไว้ 10 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่านั้น คงบังคับกันได้เพียง 3 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ดิน+สิ่งปลูกสร้าง: สัญญาต่างตอบแทนพิเศษ ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดไม่ได้
เช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างตึกมีกำหนดถึง 10 ปี แล้วผู้เช่าจะยกตึกที่ปลูกสร้างทดแทนให้เจ้าของที่ดินอีกโสดหนึ่งต่างหากจากค่าเช่า ดังนี้ เป็นสัญญาต่างตอบแทนกันยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด 10 ปีไม่ได้
ผู้ให้เช่าฟ้องขอให้เลิกสัญญาเช่า และขอให้ผู้เช่าส่งมอบที่ดินที่เช่ากับสิ่งปลูกสร้างที่ผู้เช่าปลูกสร้างลงไว้บนที่ดินที่เช่าให้แก่ผู้ให้เช่านั้น ต้องตีราคาสิ่งปลูกสร้างเป็นทุนทรัพย์แห่งคดี และต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมตามระเบียบ เพราะเป็นทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้อง ไม่จำเป็นจะต้องฟังคำให้การของจำเลยก่อน
ผู้ให้เช่าฟ้องขอให้เลิกสัญญาเช่า และขอให้ผู้เช่าส่งมอบที่ดินที่เช่ากับสิ่งปลูกสร้างที่ผู้เช่าปลูกสร้างลงไว้บนที่ดินที่เช่าให้แก่ผู้ให้เช่านั้น ต้องตีราคาสิ่งปลูกสร้างเป็นทุนทรัพย์แห่งคดี และต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมตามระเบียบ เพราะเป็นทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้อง ไม่จำเป็นจะต้องฟังคำให้การของจำเลยก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 790/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าเพื่อค้าขายไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ และระยะเวลาสัญญาเช่าที่กฎหมายรับรอง
สัญญาเช่าที่ดินมีข้อความว่า เช่าเพื่อจะใช้เป็นแหล่งการค้าเสาไม้กระดาน และเครื่องอุปกรณ์และอื่น ๆ หาปรากฏว่าจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยไม่ และผู้เช่าซึ่งเป็นนิติบุคคลก็ได้ใช้ที่นี้เป็นที่ตั้งสำนักงานบริษัทของผู้เช่า ดังนี้เป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการค้าโดยตรง ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ (อ้างฎีกาที่ 11/2492)
นิติบุคคลเช่าห้องแถว ให้คนงานของตนอยู่อาศัยในบริเวณที่ดิน ซึ่งนิติบุคคลนั้นเช่าตั้งสำนักงานประกอบการค้าขายนั้น ถือว่าเป็นการเช่าเพื่อประโชน์แก่การค้าของนิติบุคคลนั้นเองไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
สัญญาเช่าทำกันเองในฉบับเดียวกันแบ่งเวลาเช่าเป็น 2 งวด ๆ แรก 3 ปี งวดหลัง 2 ปี ดังนี้ มีผลเท่ากับทำคราวเดียวกำหนด 5 ปี ฉะนั้นตามกฎหมายย่อมมีผลบังคับได้เพียง 3 ปีเท่านั้น
นิติบุคคลเช่าห้องแถว ให้คนงานของตนอยู่อาศัยในบริเวณที่ดิน ซึ่งนิติบุคคลนั้นเช่าตั้งสำนักงานประกอบการค้าขายนั้น ถือว่าเป็นการเช่าเพื่อประโชน์แก่การค้าของนิติบุคคลนั้นเองไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
สัญญาเช่าทำกันเองในฉบับเดียวกันแบ่งเวลาเช่าเป็น 2 งวด ๆ แรก 3 ปี งวดหลัง 2 ปี ดังนี้ มีผลเท่ากับทำคราวเดียวกำหนด 5 ปี ฉะนั้นตามกฎหมายย่อมมีผลบังคับได้เพียง 3 ปีเท่านั้น