พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5454/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระเบียบภายในหน่วยงานราชการไม่อาจใช้ต่อสู้บุคคลภายนอกที่ไม่ทราบได้
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเรือนจำซื้อสินค้าจากโจทก์ไปใช้ในกิจการของเรือนจำแล้วมิได้จัดให้มีการตั้งบัญชีเจ้าหนี้ไว้ตามระเบียบปฏิบัติราชการของกรมราชทัณฑ์จำเลยที่ 2ที่วางไว้เพื่อให้มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 นั้น เป็นเพียงระเบียบปฏิบัติภายในของจำเลยที่ 2 ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้เป็นบุคคลภายนอกและไม่ทราบถึงระเบียบดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างป่วยอัมพาต นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย แม้มีระเบียบภายใน
ลูกจ้างป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากเส้นเลือดในสมองตีบ ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แม้ตามระเบียบธนาคารออมสิน จะให้อำนาจนายจ้างปลดลูกจ้างออกจากงานได้เมื่อลูกจ้างลาครบกำหนดระยะเวลาแล้วก็ตาม ก็เป็นเพียงให้สิทธิที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเท่านั้น จะถือว่าลูกจ้างกระทำผิดฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างอย่างร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 หาได้ไม่ เมื่อเลิกจ้างนายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง เงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง (บำเหน็จ) เป็นเงินที่นายจ้างผูกพันต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามระเบียบของนายจ้าง ส่วนค่าชดเชยเป็นเงินซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46บังคับให้นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างสิทธิของลูกจ้างที่จะได้เงินบำเหน็จและค่าชดเชยจึงกำหนดให้โดยอาศัยกฎหมายและระเบียบต่างกัน ทั้งตามระเบียบกำหนดให้ลูกจ้างซึ่งมีเวลาทำงานต่ำกว่า 5 ปี ไม่มีสิทธิรับเงินบำเหน็จ จึงเห็นได้ว่า ระเบียบของนายจ้างกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายบำเหน็จแตกต่างกับประกาศกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดให้ลูกจ้างประจำซึ่งทำงานติดต่อกันเพียงครบ 120 วัน ก็มีสิทธิได้รับค่าชดเชยแล้ว เงินทุนเลี้ยงชีพและค่าชดเชยจึงเป็นเงินคนละประเภท การที่นายจ้างจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพให้ลูกจ้างแล้ว ไม่ทำให้นายจ้างพ้นความรับผิดที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับใช้ระเบียบภายในของ รฟท. และสิทธิในการเบิกจ่ายเงินสืบสวนลับ
คณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยได้มีมติเห็นชอบในการวางแผนงานและหลักเกณฑ์ใช้จ่ายเงินงบประมาณในการสืบสวนลับใหม่ ถือได้ว่าเป็นระเบียบที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้วางไว้ตั้งแต่มีมติดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องกำหนดให้ถือว่าเป็นระเบียบอีก และตามมตินี้มิใช่เป็นเรื่องคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยวางข้อบังคับว่าด้วยระเบียบปฏิบัติงานที่จะให้ผู้ว่าการรถไฟทำอันเกี่ยวกับนิติกรรมแต่เป็นระเบียบที่วางไว้เป็นการภายในให้โจทก์ในฐานะผู้บังคับการตำรวจรถไฟ จะต้องหารือกับผู้ว่าการรถไฟก่อนถ้าจะทำตามแผนสืบสวนของกองตำรวจรถไฟ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา25(4) แห่ง พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 ที่จะต้องให้รัฐมนตรีประกาศข้อบังคับนั้นในราชกิจจานุเบกษา
โจทก์ซึ่งเป็นผู้บังคับการตำรวจรถไฟได้ทราบระเบียบนี้แล้วก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบใหม่เมื่อโจทก์จ่ายเงินค่าสืบสวนลับไปโดยผิดหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบใหม่ ย่อมเป็นการนอกเหนือหน้าที่อันโจทก์จะพึงปฏิบัติโจทก์จึงไม่มีสิทธิเบิกจ่ายเงินค่าสืบสวนลับดังกล่าวได้
โจทก์ซึ่งเป็นผู้บังคับการตำรวจรถไฟได้ทราบระเบียบนี้แล้วก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบใหม่เมื่อโจทก์จ่ายเงินค่าสืบสวนลับไปโดยผิดหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบใหม่ ย่อมเป็นการนอกเหนือหน้าที่อันโจทก์จะพึงปฏิบัติโจทก์จึงไม่มีสิทธิเบิกจ่ายเงินค่าสืบสวนลับดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนกรมทางหลวงผูกพันตามราคาที่ปรองดอง แม้ขัดระเบียบภายใน
ในการจัดซื้อที่ดินเพื่อขยายถนนสุขุมวิทจากกรุงเทพฯ - ตราด ตอนศรีราชา - สัตหีบ กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการปรองดองเพื่อพิจารณาค่าทำขวัญให้แก่ เจ้าของทรัพย์สิน และที่ดินโดยให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาปรองดองค่าทำขวัญกับเจ้าของทรัพย์ และที่ดินเพื่อการก่อสร้างดังกล่าวได้ด้วย เมื่อต่อมาคณะกรรมการปรองดองชุดนี้ได้ตีราคาที่ดินในโซนที่ดินพิพาท เสนอกรมทางหลวง จำเลย ซึ่งเป็นราคาที่ดินปานกลาง และจำเลยเห็นชอบด้วยและอนุมัติให้ดำเนินการได้ จนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทกับผู้รับมอบอำนาจช่วงจากจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาแบ่งขายที่ดินพิพาทกันตามราคาปานกลางดังกล่าว และคณะกรรมการปรองดองกับโจทก์ยังได้ทำบันทึกข้อตกลงยินยอมในเรื่องค่าทดแทนที่ดินพิพาทดังกล่าวนี้ไว้อีกด้วย ต้องถือว่า คณะกรรมการปรองดองเป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยจึงต้องผูกพันตามนั้น จำเลยจะอ้างระเบียบการภายในมาปฏิเสธความผูกพันและความรับผิดไม่ได้ และการที่ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาแบ่งขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ไปก็มิใช่เป็นการฉ้อฉลหรือเกินกว่าขอบอำนาจที่จำเลยได้มอบหมายให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดละเมิดจากละเลยระเบียบภายในเทศบาล ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและเหตุผลประกอบ
ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.เทศบาลนั้น ถือว่าเป็นระเบียบการภายใน ไม่มีผลบังคับทั่วไป และประชาชนไม่จำต้องรับรู้ ฉะนั้นความรับผิดเพื่อละเมิดอันเกิดจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวจะต้องรับผิดหรือไม่ ต้องแล้วแต่ข้อเท็จจริงและเหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดละเมิดจากระเบียบภายในเทศบาล: ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและเหตุผลเป็นรายกรณี
ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเทศบาลนั้น ถือว่าเป็นระเบียบการภายใน ไม่มีผลบังคับทั่วไป และประชาชนไม่จำต้องรับรู้ ฉะนั้นความรับผิดเพื่อละเมิดอันเกิดจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวจะต้องรับผิดหรือไม่ต้องแล้วแต่ข้อเท็จจริงและเหตุผลเป็นเรื่องๆ ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระเบียบภายใน ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก การประมาทเลินเล่อต้องรู้ข้อบังคับ
ระเบียบการของกระทรวงมหาดไทยใช้บังคับเฉพาะภายในวงอันจำกัด ไม่ได้ประกาศเป็นกฎหมายไม่มีผลบังคับได้ทั่วไป และประชาชนไม่จำต้องรับรู้ เป็นเรื่องข้อเท็จจริงจะยืนยันแต่เพียงว่ามีระเบียบการนั้นๆอยู่แล้ว หากไม่ปฏิบัติโดยจะรู้หรือไม่รู้ว่ามีอยู่ก็เป็นการกระทำผิดกฎหมายในตัวแล้ว ดังนี้หาได้ไม่
การกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบนั้นจะต้องปรากฎว่าผู้นั้นได้รู้ว่ามีระเบียบอยู่แล้วยังปฏิบัติฝ่าฝืนถ้าได้ปฏิบัติไปตามปกติ จะว่าการที่ไม่รู้และไม่ปฏิบัติตามระเบียบเป็นการประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดไม่ได้
การกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบนั้นจะต้องปรากฎว่าผู้นั้นได้รู้ว่ามีระเบียบอยู่แล้วยังปฏิบัติฝ่าฝืนถ้าได้ปฏิบัติไปตามปกติ จะว่าการที่ไม่รู้และไม่ปฏิบัติตามระเบียบเป็นการประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระเบียบภายในองค์กร ไม่ใช่กฎหมายบังคับใช้ทั่วไป การประมาทเลินเล่อต้องรู้ข้อบังคับ
ระเบียบการของกระทรวงมหาดไทยใช้บังคับเฉพาะภายในวงอันจำกัดไม่ได้ประกาศเป็นกฎหมายไม่มีผลบังคับได้ทั่วไป และประชาชนไม่จำต้องรับรู้เป็นเรื่องข้อเท็จจริงจะยืนยันแต่เพียงว่ามีระเบียบการนั้นๆ อยู่แล้วหากไม่ปฏิบัติโดยจะรู้หรือไม่รู้ว่ามีอยู่ก็เป็นการกระทำผิดกฎหมายในตัวแล้ว ดังนี้หาได้ไม่
การกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบนั้นจะต้องปรากฏว่าผู้นั้นได้รู้ว่ามีระเบียบอยู่แล้วยังปฏิบัติฝ่าฝืนถ้าได้ปฏิบัติไปตามปกติจะว่าการที่ไม่รู้และไม่ปฏิบัติตามระเบียบเป็นการประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดไม่ได้
การกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบนั้นจะต้องปรากฏว่าผู้นั้นได้รู้ว่ามีระเบียบอยู่แล้วยังปฏิบัติฝ่าฝืนถ้าได้ปฏิบัติไปตามปกติจะว่าการที่ไม่รู้และไม่ปฏิบัติตามระเบียบเป็นการประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4091/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องคดีแรงงานและการจำกัดสิทธิโดยระเบียบภายในองค์กร ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ระเบียบองค์การค้าของคุรุสภาว่าด้วยการทำงานของเจ้าหน้าที่องค์การค้าของคุรุสภา พ.ศ.2518 ข้อที่ 33 กำหนดว่า "เจ้าหน้าที่องค์การค้าของคุรุสภาผู้ใดที่ถูกลงโทษเห็นว่าคำสั่งลงโทษนั้นไม่ยุติธรรมก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งลงโทษนั้นได้" เป็นการกำหนดให้สิทธิลูกจ้างที่ถูกลงโทษที่จะอุทธรณ์คำสั่งลงโทษนั้นหรือไม่ก็ได้ ส่วนที่ระเบียบข้อเดียวกันนั้นกำหนดว่า "คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาถือเป็นที่สุด" มีความหมายเพียงว่าผู้ที่ถูกลงโทษจะอุทธรณ์ต่อไปยังผู้ใดหรือกรรมการชุดใดของจำเลยที่ 1 อีกไม่ได้เท่านั้น ไม่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิผู้ที่ถูกลงโทษมิให้นำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงาน จำเลยทั้งสองยกเอาระเบียบที่ใช้ภายในองค์กรของจำเลยที่ 1 มาจำกัดสิทธิในการฟ้องคดีของโจทก์ไม่ได้เพราะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์เป็นผู้ที่ถูกลงโทษจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งองค์การค้าของคุรุสภาที่ 5/2545 - 46 ที่แต่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 96/2545 - 46 ที่เลิกจ้างโจทก์ อันเป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคนละคำสั่งคนละขั้นตอนกัน ต่อมาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อน จึงไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ฟ้องสำหรับคดีก่อน ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งองค์การค้าของคุรุสภาที่ 5/2545 - 46 ที่แต่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 96/2545 - 46 ที่เลิกจ้างโจทก์ อันเป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคนละคำสั่งคนละขั้นตอนกัน ต่อมาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อน จึงไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ฟ้องสำหรับคดีก่อน ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ