พบผลลัพธ์ทั้งหมด 12 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5177/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีแรงงานจำกัดเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ไม่อาจรับรองอุทธรณ์ข้อเท็จจริง แม้มีบทบัญญัติ ป.วิ.พ. ที่อาจใช้ได้
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 54 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายโดยการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานได้วินิจฉัยมาตามมาตรา 56 วรรคสอง เป็นการบัญญัติเกี่ยวกับการอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำ ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้มาใช้บังคับ แม้ตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ จะบัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับด้วย ก็ต้องเป็นกรณีที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ ด้วย เมื่อคดีแรงงานให้อุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายจึงไม่อาจมีการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ทั้งการที่ผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาคดีจะรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว และอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(คำสั่งคำร้อง)
(คำสั่งคำร้อง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2125/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์อุทธรณ์คำนวณจากกรรมสิทธิ์แต่ละส่วน และการรับรองอุทธรณ์ต้องชัดเจนจึงขัดข้อยกเว้นมาตรา 224 วรรคหนึ่งได้
โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เนื้อที่ 32 ไร่ 3 งาน 58 ตารางวา เป็นทรัพย์มรดกของนายค. และนางล.ผู้ตาย โจทก์ทั้งสามและจำเลยต่างเป็นบุตรของผู้ตาย ขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสามคนละ 5 ไร่ คิดเป็นที่ดินรวมกัน 15 ไร่ซึ่งโจทก์ทั้งสามตีราคามาในคำฟ้องเป็นเงิน 100,000 บาทจำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องไม่ใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตาย แต่เป็นทรัพย์ของจำเลย แม้โจทก์ทั้งสามจะฟ้องและตีราคาทรัพย์สินที่พิพาทรวมกันมา แต่กรรมสิทธิ์ที่โจทก์ขอแบ่งซึ่งแต่ละคนกล่าวอ้างสามารถแยกต่างหากจากกันได้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์จึงต้องถือตามราคาที่ดินที่โจทก์แต่ละคนอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ เมื่อที่ดินพิพาทจำนวน15 ไร่ มีราคา 100,000 บาท ดังนั้น ราคาที่ดินพิพาทเนื้อที่5 ไร่ ที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งเมื่อคำนวณแล้วมีราคาไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การรับรองอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ว่ามีเหตุอันสมควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้นั้น ต้องเป็นการรับรองโดยชัดแจ้ง คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ผู้อุทธรณ์มีข้อความว่า "รับเป็นอุทธรณ์ของโจทก์ สำเนาให้จำเลยแก้ให้โจทก์นำส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์หากไม่ปรากฏว่าจำเลยมีภูมิลำเนาแห่งอื่นแล้วให้ปิดหมายได้"คำสั่งดังกล่าวไม่มีข้อความแสดงให้เห็นว่าเป็นการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224อันจะทำให้ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีนี้มาสู่การพิจารณาของ ศาลอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6826/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรับรองอุทธรณ์หลังพ้นกำหนดเวลา และการไม่อนุญาตอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามกฎหมาย
โจทก์ได้ยื่นคำร้องพร้อมกับฟ้องอุทธรณ์เจาะจงขอให้ ฐ. ซึ่งเป็นผู้ที่นั่งพิจารณาคดีนี้ให้รับรองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ฐ. ได้สั่งในวันเดียวกันนั้นว่าไม่มีเหตุอันควรรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับรองอุทธรณ์โจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ยกคำร้องและศาลชั้นต้นสั่งในฟ้องอุทธรณ์ว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในคดีอาญาเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิจึงไม่รับอุทธรณ์โจทก์ในคดีอาญา คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว ดังนี้ คำฟ้องอุทธรณ์ส่วนอาญาของโจทก์จึงเป็นอันตกไป การที่ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษารับรองอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์และศาลชั้นต้นสั่งว่า พ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะสั่งคำร้องนี้จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว โดยไม่จำต้องสั่งว่าจะรับรองให้หรือไม่อีก เพราะการขออนุญาตให้อุทธรณ์ต้องกระทำในระยะเวลาที่โจทก์ยังยื่นอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2255/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองอุทธรณ์คดีต้องห้าม และการยกเหตุผลประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษ
เมื่อพนักงานอัยการได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมอัยการได้พิจารณาเห็นว่า ควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ก็รับรองให้อุทธรณ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรับรองในวันที่ยื่นอุทธรณ์ เพียงแต่ให้มีคำรับรองปรากฏให้เห็นขณะที่มีการยื่นอุทธรณ์ และถ้อยคำที่ใช้ให้มีความหมายให้เห็นว่าเป็นการรับรองข้อที่ต้องห้ามก็ชอบแล้ว ส่วนเหตุผลในการรับรองนั้นกฎหมายมิได้กำหนดแบบว่าจะต้องปรากฏในคำรับรองนั้นด้วยแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ที่ว่าการบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราเป็นภัยอันตรายเพราะรัฐบาลต้องใช้งบประมาณสร้างถนนในวงเงินที่สูงขึ้น...นั้นเป็นการอ้างเหตุผลเพื่อประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษเท่านั้น ไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำผิดที่อ้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะถือว่าไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นเป็นการอุทธรณ์ที่ไม่ชอบหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองอุทธรณ์/ฎีกา ต้องบันทึกครบหลักเกณฑ์ปัญหาสำคัญและอนุญาตให้สู้คดี
ข้อความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ตรีและในมาตรา 221 ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องการรับรองให้คดีขึ้นสู้การพิจารณาของศาลที่สูงกว่านั้นมีบัญญัติไว้เป็นใจความอย่างเดียวกัน จึงย่อมอาจนำเหตุผลในฎีกาที่เกี่ยวกับมาตรา 221 มาเป็นหลักวินิจฉัยประกอบเทียบเคียงกันได้
การที่ผู้พิพากษาศาลล่างผู้มีอำนาจที่จะรับรองให้คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลที่สูงกว่าได้นั้น จะต้องบันทึกข้อความให้ครบหลักเกณฑ์ทั้งสองประการตามกฎหมาย คือข้อความที่ตัดสินไปเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจะต้องบันทึกยืนยันว่าตนอนุญาตให้อุทธรณ์หรือฎีกาได้
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นบันทึกในอุทธรณ์ว่า "ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาอันควรสู่ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ สำเนาให้จำเลยที่ 2,3 แก้ ดังนี้ ถือว่ายังมิได้มีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ตรี
การที่ผู้พิพากษาศาลล่างผู้มีอำนาจที่จะรับรองให้คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลที่สูงกว่าได้นั้น จะต้องบันทึกข้อความให้ครบหลักเกณฑ์ทั้งสองประการตามกฎหมาย คือข้อความที่ตัดสินไปเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจะต้องบันทึกยืนยันว่าตนอนุญาตให้อุทธรณ์หรือฎีกาได้
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นบันทึกในอุทธรณ์ว่า "ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาอันควรสู่ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ สำเนาให้จำเลยที่ 2,3 แก้ ดังนี้ ถือว่ายังมิได้มีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองอุทธรณ์ต้องชัดแจ้ง การไม่คืนค่าฤชาธรรมเนียมเมื่ออุทธรณ์ต้องห้าม
การรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้นั้น ต้องเป็นการรับรองโดยชัดแจ้งว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ คำสั่งของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์เพียงว่า "รับอุทธรณ์สำเนาให้โจทก์" เฉย ๆ เท่านั้น ย่อมไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6)พ.ศ.2518 มาตรา 3
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยเพราะเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้าม ศาลอุทธรณ์ก็อาจใช้ดุลพินิจไม่คืนค่าฤชาธรรมเนียมให้จำเลยได้
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยเพราะเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้าม ศาลอุทธรณ์ก็อาจใช้ดุลพินิจไม่คืนค่าฤชาธรรมเนียมให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองอุทธรณ์ต้องมีบันทึกชัดเจน หากไม่บันทึก ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกอุทธรณ์ได้
การรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นจะต้องบันทึกไว้ให้ชัดแจ้งว่ารับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 มิใช่เพียงแต่สั่งรับอุทธรณ์เท่านั้น มิฉะนั้นศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกอุทธรณ์โดยไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นแห่งอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจไม่อนุญาตอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเป็นอำนาจเฉพาะของผู้พิพากษาคดีชั้นต้น, การขอรับรองอุทธรณ์โดยอธิบดีกรมอัยการ
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 22แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้อุทธรณ์แล้ว ผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวนั้นต่อศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาผู้นั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ศาลในการส่งเรื่องขอรับรองอุทธรณ์ไปยังอธิบดีอัยการ และรูปแบบคำวินิจฉัยของศาล
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่.ไม่ส่งสำนวนและอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการพิจารณารับรองตามคำร้องของโจทก์ร่วมนั้น. ผู้อุทธรณ์ต้องทำเป็นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193. และชอบที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยโดยทำเป็นคำพิพากษามิใช่ทำเป็นคำสั่ง. แต่โดยที่ศาลอุทธรณ์ได้ทำคำสั่งโดยผู้พิพากษาสองนาย เพียงแต่ผิดแบบเฉพาะการทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่ง.จึง.ไม่จำเป็นที่จะให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่(อ้างฎีกาที่ 1244/2503).
การที่จะให้อธิบดีกรมอัยการรับรองอุทธรณ์นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการรับรอง. การรับรองอุทธรณ์เป็นประโยชน์แก่ผู้อุทธรณ์เอง. ผู้อุทธรณ์จึงต้องขวนขวายขอร้องไปยังอธิบดีกรมอัยการเอง. หาใช่อาศัยศาลเป็นเครื่องมือส่งต่อไปยังอธิบดีกรมอัยการไม่.(อ้างฎีกาที่ 656/2506).
การที่จะให้อธิบดีกรมอัยการรับรองอุทธรณ์นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการรับรอง. การรับรองอุทธรณ์เป็นประโยชน์แก่ผู้อุทธรณ์เอง. ผู้อุทธรณ์จึงต้องขวนขวายขอร้องไปยังอธิบดีกรมอัยการเอง. หาใช่อาศัยศาลเป็นเครื่องมือส่งต่อไปยังอธิบดีกรมอัยการไม่.(อ้างฎีกาที่ 656/2506).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 667/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องห้ามในข้อเท็จจริง คดีเช่าทรัพย์สิน ศาลมีอำนาจไม่วินิจฉัยได้หากจำเลยไม่ขอรับรอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าซึ่งมีค่าเช่าเดือนละ 95 บาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเว้นแต่จะมีการรับรองหรืออนุญาตให้อุทธรณ์ได้
จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งไม่อาจทำให้จำเลยชนะคดีได้ ย่อมไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ผู้อุทธรณ์มีหน้าที่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ซึ่งต้องห้าม และศาลอุทธรณ์พิพากษายก ก็เป็นความบกพร่องของผู้อุทธรณ์เอง
จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งไม่อาจทำให้จำเลยชนะคดีได้ ย่อมไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ผู้อุทธรณ์มีหน้าที่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ซึ่งต้องห้าม และศาลอุทธรณ์พิพากษายก ก็เป็นความบกพร่องของผู้อุทธรณ์เอง