คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รับเงิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 121 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4479/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: การรับเงินเพื่อไม่ต้องควบคุมตัวจำเลยในศาล
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นำตัวจำเลยทั้งสามมาที่ศาลชั้นต้นเพื่อส่งตัวตามฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์แล้ว น. ภริยาของจำเลยที่ 3 ได้มอบเงิน 300 บาท ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เพื่อไปดำเนินการให้จำเลยทั้งสามไม่ต้องถูกนำตัวเข้าห้องควบคุม และผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 บอกให้จำเลยทั้งสามรออยู่บริเวณหน้าห้องควบคุมโดยมิได้ส่งตัวจำเลยทั้งสามให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจประจำศาล การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ดังกล่าว จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลอยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ตาม พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 และ 26 และไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ผู้พิพากษาที่สั่งให้เจ้าหน้าที่รายงานการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลทำการไต่สวนพยานและพิพากษาคดีดังกล่าวด้วยตนเอง ทั้งไม่เข้ากรณีที่จะเป็นเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 คัดค้านผู้พิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 11 อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8768/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่ฝ่าฝืนระเบียบและรับเงินจากตัวแทนบัตรเครดิต ศาลฎีกาวินิจฉัยเหตุเลิกจ้างสมควร
โจทก์เป็นลูกจ้างฝ่ายบัตรเครดิตของจำเลย มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่พิจารณาสินเชื่อ มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติวงเงินให้แก่ผู้สมัครบัตรเครดิต การที่โจทก์พิจารณาอนุมัติบัตรเครดิตให้แก่ผู้สมัคร โดยได้อนุมัติก่อนที่จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติงานของฝ่ายอนุมัติบัตร และไม่ได้ตรวจสอบสถานะของผู้สมัครและเอกสารของผู้สมัครว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้องหรือไม่ เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แต่โจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของ ธ. กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยและ ศ. ผู้จัดการซึ่งเป็นหัวหน้าของโจทก์ จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยในกรณีไม่ร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้ตักเตือนโจทก์ก่อนเป็นหนังสือ จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 แต่การที่โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยดังกล่าว เป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4643/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิรับเงินชำระหนี้หลังถูกบังคับคดี: ศาลอนุญาตคืนเงินได้
จำเลยที่ 1 นำเงินจำนวน 150,000 บาท มาวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หากโจทก์ขอรับเงินดังกล่าวศาลก็ชอบที่จะจ่ายให้ไปได้ แต่โจทก์ยืนยันความประสงค์ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และดำเนินการบังคับคดีจนกระทั่งจำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทแล้ว ทั้งระยะเวลานับแต่จำเลยที่ 1 วางเงินต่อศาลจนถึงวันที่ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1 รับเงินคืนไปซึ่งเป็นเวลา 1 ปีเศษ โจทก์ไม่เคยแสดงเจตนาขอรับเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางต่อศาลพฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าโจทก์สละสิทธิขอรับเงินดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขอรับเงินจากศาลได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 รับเงินไปจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7727/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือในการจำหน่ายยาเสพติด แม้ไม่ได้เจรจาหรือส่งมอบเอง แต่รับเงิน ย่อมแสดงถึงเจตนาในการกระทำผิด
ขณะที่จ่าสิบตำรวจ น. เข้าไปติดต่อซื้อ เมทแอมเฟตามีน ในบ้านจำเลยที่ 2 พบจำเลยทั้งสามอยู่ในบ้าน จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3เป็นผู้รับเงินค่า เมทแอมเฟตามีน แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้เป็นผู้เจรจาจำหน่าย เมทแอมเฟตามีน และมิได้เป็นผู้ส่งมอบ เมทแอมเฟตามีน ให้แก่จ่าสิบตำรวจ น. ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 2 และร่วมอยู่ด้วยขณะที่มีการซื้อขาย เมทแอมเฟตามีน และเป็นผู้รับเงินด้วยตนเอง ย่อมส่อแสดงว่าจำเลยที่ 3 รู้เห็นด้วยในการกระทำความผิดฐานจำหน่าย เมทแอมเฟตามีน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2652/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตตั้งแต่แรกและการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงที่เชื่อมโยงกับการรับเงิน
ความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่งจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังที่การกระทำความผิดในการได้ทรัพย์มานั้นสำเร็จไปแล้ว ม. กับพวกมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกโดยหลอกลวงว่าจะซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมมาที่บ้าน ม. เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายและให้วางเงินมัดจำ ม. กลับชักชวนโจทก์ร่วมให้ร่วมกับ ม. เล่นการพนันกับพวกของ ม. โจทก์ร่วมเล่นการพนันเสียการติดต่อขอซื้อที่ดินและการเล่นการพนันจึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ ม. กับพวกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงเอาเงินของโจทก์ร่วมและโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ ม. กับพวกได้ไปซึ่งเงินจากโจทก์ร่วมกับเงินที่โจทก์ร่วมให้ จ. โอนมาให้แก่จำเลยแสดงว่า จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของ ม. หาใช่เข้าไปเกี่ยวข้องภายหลัง ม. ได้เงินมาแล้วไม่ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญและไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้เพราะจำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่มีส่วนร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับเงินจำนวนที่จำเลยเป็นผู้เบิก ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6303/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือหลักฐานการรับเงินมรดกและสละสิทธิ ถือเป็นเอกสารสิทธิ ตามกฎหมาย
หนังสือหลักฐานการได้รับเงินและสละสิทธิในที่ดินมรดกเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแก่การก่อ เปลี่ยนแปลง โอนหรือระงับซึ่งสิทธิในที่ดินมรดก จึงเป็นเอกสารสิทธิ ตาม ป.อ.มาตรา 1 (9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3046/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิด พ.ร.บ.จัดหางาน: ไม่จำเป็นต้องระบุรายละเอียดการรับเงินในฟ้อง
พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 8วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดจัดหางานให้คนหางานทำงานในประเทศ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนนั้น กฎหมายมาตราดังกล่าวมิได้บัญญัติถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับผู้กระทำความผิดจะต้องรับเงินจากใคร นำไปให้ใครเป็นจำนวนเงินเท่าใดเป็นองค์ประกอบแห่งความผิดไว้ด้วย ดังนั้น โจทก์จึงไม่จำเป็นที่ต้องบรรยายข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ในฟ้องด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดแล้วว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือลูกจ้างให้แก่นายจ้างทำงานในประเทศโดยจำเลยทั้งสองได้รับเงินค่าตอบแทนจากคนหางาน และตั้งสำนักงานจัดหางานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบแห่งความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 8 วรรคหนึ่งแล้ว จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3046/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีจัดหางาน: ไม่ต้องระบุรายละเอียดการรับเงิน หากบรรยายองค์ประกอบความผิดครบถ้วน
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528มาตรา8วรรคหนึ่งที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดจัดหางานให้คนหางานทำงานในประเทศเว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนนั้นกฎหมายมาตราดังกล่าวมิได้บัญญัติถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับผู้กระทำความผิดจะต้องรับเงินจากใครนำไปให้ใครเป็นจำนวนเงินเท่าใดเป็นองค์ประกอบแห่งความผิดไว้ด้วยดังนั้นโจทก์จึงไม่จำเป็นที่ต้องบรรยายข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ในฟ้องด้วย โจทก์บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดแล้วว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือลูกจ้างให้แก่นายจ้างทำงานในประเทศโดยจำเลยทั้งสองได้รับเงินค่าตอบแทนจากคนหางานและตั้งสำนักงานจัดหางานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528มาตรา8วรรคหนึ่งแล้วจึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7029/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานการกู้ยืมเงินจากใบรับเงินและการมีหนี้โดยปริยาย
ใบรับเงินพิมพ์เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมด มีชื่อบริษัทโจทก์ที่หัวกระดาษ ถัดลงมาเป็นช่องจ่ายให้แก่ใคร ซึ่งได้กรอกชื่อจำเลย ถัดลงมาเป็นช่องCREDIT A/C CODE ... DATE 4-12-92 ถัดลงมาเป็นช่องกรอกรายการและจำนวนเงิน มีกรอกรายการเป็นอักษรภาษาไทยว่า "ได้รับเงินแล้วจำนวน" และกรอกจำนวนเงินเป็นตัวอักษรและตัวเลขว่า "สามแสนบาทถ้วน" และ "300,000"มุมล่างด้านขวามือมีช่องสำหรับลงชื่อผู้รับเงิน มีลายเซ็นผู้รับเงินปรากฏอยู่ในช่องดังกล่าว ซึ่งคำฟ้องระบุว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อรับเงิน จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ ข้อความในเอกสารดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานว่า จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวน 300,000 บาท โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินจำนวนนี้ไปจากโจทก์จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ โดยไม่ปรากฏข้อต่อสู้ว่าเหตุใดจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวคืนโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยมีหนี้ที่จะต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้โจทก์ จึงถือได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8346/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกเงินจากตัวแทน และอายุความของคดีตัวแทนรับเงินแทน
คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นดอกเบี้ย โดยระบุอัตราดอกเบี้ย ต้นเงินและระยะเวลาที่คิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 ปี ซึ่งสามารถคิดคำนวณจำนวนดอกเบี้ยดังกล่าวได้แล้ว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าจำนวนดอกเบี้ยรายเดือนเป็นเงินเดือนละเท่าใดอีกและคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า โจทก์ขายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้แก่ผู้ซื้อโดยจำเลยในฐานะกรรมการบริษัทซึ่งมีฐานะเป็นตัวแทนหรือผู้แทนของบริษัทตามบทบัญญัติของกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการแทน และจำเลยได้รับเงินมัดจำกับเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อไว้แทนโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนต้องส่งมอบเงินแก่โจทก์ จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่ โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งมอบเงินค่าขายสินค้าที่จำเลยได้รับไว้แทนให้แก่โจทก์ เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะตัวแทน มิใช่กรณีพ่อค้าฟ้องเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของซึ่งมีอายุความ 2 ปี และกรณีตัวการฟ้องเรียกเงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนรับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม
of 13