พบผลลัพธ์ทั้งหมด 343 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6991/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา: การบรรยายลักษณะการกระทำในคำฟ้อง
ข้อความว่า "ข่มขืนกระทำชำเรา" หมายถึง การร่วมประเวณีกับหญิงซึ่งไม่ใช่ภรรยาของตน การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลักษณะของการข่มขืนกระทำชำเรา แต่เป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดตามป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7982/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของฟ้องคดีอาญา แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดกฎกระทรวงออกตามกฎหมาย
ตามบันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์และคำฟ้องที่ศาลชั้นต้นทันทึกไว้ โจทก์ได้ระบุการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดโดยบรรยายว่าจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์โดยไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งได้อ้างพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11, 60 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ารัฐมนตรีผู้มีอำนาจหน้าที่ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ต้องมีและแสดงเครื่องหมายดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ถือว่าฟ้องของโจทก์ขาดข้อความสำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวีธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6450/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขืนใจใจให้ทำงาน-กักขังหน่วงเหนี่ยว: จำเลยต้องมีความผิดชัดเจน-ฟ้องต้องระบุรายละเอียด
ผู้เสียหายทั้ง 27 คน ต่างประสงค์จะมาทำงานเป็นลูกเรือประมงตั้งแต่พบคนชักชวนแล้ว จึงมาพบจำเลยทั้งห้ากับพวก และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอีกเลยว่าผู้เสียหายทั้ง 27 คน เปลี่ยนใจไม่ประสงค์จะทำงานเป็นลูกเรือประมง จึงถูกจำเลยทั้งห้ากับพวกข่มขืนใจให้ต้องจำยอมดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ข้อเท็จจริงกลับฟังได้ว่าผู้เสียหายทั้ง 27 คน มีความประสงค์จะได้งานทำเป็นลูกเรือประมงจึงสมัครใจมาอยู่กับจำเลย ห้องแถวที่เกิดเหตุลักษณะเป็นที่อยู่อาศัย มิใช่ที่จองจำหรือกักขังคนแต่อย่างใด การที่จำเลยพาผู้เสียหายมาให้อยู่รวมกันโดยจัดหาอาหารให้รับประทาน แม้การออกไปภายนอกจะต้องอนุญาตก่อนก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นการห้ามเด็ดขาดแต่อย่างใด พฤติการณ์น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องการให้อยู่พร้อมกันเพื่อที่จะลงเรือประมงตามที่ตกลงกันไว้ จึงยังฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยทั้งห้ากับพวกบังอาจร่วมกันข่มขืนใจและกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายทั้ง 27 คน ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายโดยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธขู่เข็ญให้จำยอมไปเป็นลูกเรือประมงตามที่จำเลยทั้งห้ากับพวกจะจัดสรรและมอบหมายให้ โดยจำเลยทั้งห้าขู่เข็ญว่าหากผู้เสียหายไม่ยินยอมจะถูกทำร้ายร่างกายจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จนผู้เสียหายทั้ง 27 คน ต้องจำยอมกระทำการตามที่ขู่เข็ญ ตามคำฟ้องหาได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งห้ากระทำการเช่นใดอันเป็นการกักขังหรือหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายทั้ง 27 คน ให้ปราศจากเสรีภาพ พอที่จะเข้าใจข้อหาในความผิดตามมาตรา 310 ได้ คำฟ้องของโจทก์ในข้อหานี้ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกาก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ปัญหาที่ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกามาด้วย และปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและปัญหาดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องรับโทษได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยทั้งห้ากับพวกบังอาจร่วมกันข่มขืนใจและกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายทั้ง 27 คน ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายโดยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธขู่เข็ญให้จำยอมไปเป็นลูกเรือประมงตามที่จำเลยทั้งห้ากับพวกจะจัดสรรและมอบหมายให้ โดยจำเลยทั้งห้าขู่เข็ญว่าหากผู้เสียหายไม่ยินยอมจะถูกทำร้ายร่างกายจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จนผู้เสียหายทั้ง 27 คน ต้องจำยอมกระทำการตามที่ขู่เข็ญ ตามคำฟ้องหาได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งห้ากระทำการเช่นใดอันเป็นการกักขังหรือหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายทั้ง 27 คน ให้ปราศจากเสรีภาพ พอที่จะเข้าใจข้อหาในความผิดตามมาตรา 310 ได้ คำฟ้องของโจทก์ในข้อหานี้ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกาก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ปัญหาที่ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกามาด้วย และปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและปัญหาดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องรับโทษได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6134/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเลขที่โฉนดที่ดินในคำพิพากษาชั้นบังคับคดี ศาลอนุญาตได้หากไม่เปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษา
การขอแก้ไขเลขที่โฉนดที่ดินในคำพิพากษาซึ่งเป็นเพียงการเพิ่มเติมในรายละเอียดให้ชัดเจนถูกต้องตรงความเป็นจริง แม้จะอยู่ในชั้นบังคับคดี แต่เมื่อมิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาหรือเป็นการบังคับคดีนอกเหนือไปจากคำพิพากษาก็ขอแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3393/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของคำฟ้องวงแชร์ การไม่ระบุรายละเอียดการเล่นแชร์ไม่ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์ทั้งห้ากับพวกเป็นลูกวงแชร์ซึ่งมีจำเลยเป็นนายวงแชร์เป็นแชร์ชนิดดอกตาม 9 วง หุ้นละ 500 บาท 8 วง และหุ้นละ 300 บาท 1 วง กำหนดประมูลแชร์วันที่ 5, 15, 20, 25, 30 ของทุกเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2537 จำเลยมีหน้าที่เรียกเก็บเงินจากลูกวงแชร์มาให้ผู้ประมูลได้ หากเรียกเก็บจากลูกวงแชร์คนใดไม่ได้ จำเลยต้องชำระเงินแทนไปก่อนแล้วเรียกเก็บเอาภายหลัง และหากจำเลยไม่มอบเงินกองกลางให้แก่ผู้ประมูลได้ ถือว่าจำเลยผิดสัญญาต้องใช้เงินกองกลางทั้งหมดแก่ลูกวงแชร์ จำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนโดยได้รับเงินกองกลางวงแชร์งวดแรกไปใช้ประโยชน์ก่อนโดยไม่ต้องประมูล ต่อมาวงแชร์ล้มโดยที่โจทก์ทั้งห้ายังไม่ได้ประมูล จำเลยในฐานะนายวงแชร์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่างวดรวมทั้งดอกเบี้ยแชร์แก่โจทก์ทั้งห้า คำฟ้องดังกล่าวได้บรรยายให้เห็นถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยแล้วว่าเป็นอย่างไร และจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งห้าเพราะเหตุใด เป็นเงินจำนวนเท่าใด ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์แต่ละคนร่วมเล่นแชร์วงที่เท่าใด เล่นคนละกี่มือ แชร์แต่ละวงที่ร่วมเล่นมีการประมูลไปแล้วกี่มือ ยังไม่ได้ประมูลกี่มือ โจทก์แต่ละคนส่งค่าแชร์ไปแล้วกี่งวดเป็นเงินเท่าใด และยังค้างส่งอีกกี่งวด นั้น แม้จะไม่บรรยายมาในคำฟ้องก็ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ทั้งห้าจึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7104/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดค่าเสียหายทั้งหมด การระบุค่าซ่อมโดยรวมเพียงพอแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนค่าเสียหายว่า เหตุที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ผ-9034 เชียงราย แล้ว รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ผ-9034 เชียงราย กระเด็นมาเฉี่ยวชนกับรถยนต์คันหมายเลขเครื่อง เจ.ที 172 เอส.ซี 1100066869 หมายเลขเครื่องยนต์ 3 เอส-1996985 ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เป็นเหตุให้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้ซ่อมแซมรถยนต์คันที่โจทก์ได้รับประกันภัยไว้จนอยู่ในสภาพใช้การได้ดีดังเดิมโดยเสียค่าซ่อมแซมและค่าอะไหล่เป็นเงิน 116,343 บาท คำบรรยายฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและอ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถยนต์บุคคลอื่นแล้วทำให้กระเด็นมาเฉี่ยวชนกับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เหตุละเมิดเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แล้วทำให้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ดำเนินการซ่อมแซมรถยนต์คันที่ได้รับประกันภัยไว้จนใช้การได้ดังเดิม โดยเสียค่าซ่อมแซมและค่าอะไหล่เป็นเงิน 116,343 บาท ส่วนการที่รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันไว้จะได้รับความเสียหายในส่วนไหน เสียหายอย่างไร โจทก์ต้องเสียค่าซ่อมรายการใดบ้างนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้หาใช่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาซึ่งจะต้องบรรยายมาในคำฟ้องไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2205/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดลิขสิทธิ์และการใช้เครื่องหมายการค้าโดยมิชอบ การฟ้องร้องต้องระบุรายละเอียดการกระทำที่เข้าข่ายความผิดชัดเจน
การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าเป็นความผิดคือ การนำเอาเทปบันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์ เรื่อง อุลตร้าแมนทิก้า ที่จำเลยจัดทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านทางสถานีโทรทัศน์ เป็นการให้บริการที่ใช้เครื่องหมายบริการที่เลียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้วนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ แต่การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 110 (2) ต้องเป็นการให้บริการที่ใช้เครื่องหมายบริการที่เลียนเครื่องหมายบริการของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักรเท่านั้น การให้บริการที่ใช้เครื่องหมายบริการที่เลียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้นอกราชอาณาจักรไม่อาจเป็นความผิดตามบทกฎหมายมาตรานี้ได้ ทั้งไม่ปรากฏจากฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการให้บริการใดและเครื่องหมายบริการของโจทก์เป็นอย่างไร ฟ้องที่โจทก์บรรยายดังกล่าวจึงไม่มีมูลที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 110 (2)
การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 272 (1) ต้องเป็นการเอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้หรือทำให้ปรากฏที่หีบ ห่อ วัตถุที่ใช้หุ้มห่อ แจ้งความ รายการแสดงราคา จดหมายเกี่ยวกับการค้า หรือสิ่งอื่นทำนองเดียวกันเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของผู้อื่นนั้น แต่จากที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยนำเอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความใดในการประกอบการค้าของโจทก์ในภาพยนตร์ชุดอุลตร้าแมนมาทำให้ปรากฏที่สินค้าใดโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของโจทก์ ทั้งการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยนำเอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ และข้อความที่ใช้ในการประกอบการค้าของโจทก์ในภาพยนตร์ชุดอุลตร้าแมนมาทำให้ปรากฏอยู่ในเทปบันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์เรื่อง อุลตร้าแมนทิก้า ที่จำเลยจัดทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์และนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านทางสถานีโทรทัศน์นั้น ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้เอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความมาใช้หรือทำให้ปรากฏที่สินค้า หีบ ห่อ วัตถุที่ใช้ห่อหุ้ม แจ้งความ รายการแสดงราคา จดหมายเกี่ยวกับการค้า หรือสิ่งอื่นทำนองเดียวกันแต่อย่างใด แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยนำเทปบันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์เรื่องอุลตร้าแมนทิก้าออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านทางสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นการให้บริการโดยใช้เครื่องหมายบริการที่เลียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้ว นอกราชอาณาจักร โดยเป็นการนำเอาแคแรกเตอร์ตัวอุลตร้าแมนในลักษณะต่าง ๆ และสัตว์ประหลาดต่าง ๆ รวมทั้งชื่อ คำ และข้อความว่า อุลตร้าแมน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ชุดอุลตร้าแมน ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์นำไปใช้ประโยชน์ในทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นการบรรยายอ้างว่าจำเลยนำเอาแคแรกเตอร์ตัวอุลตร้าแมน สัตว์ประหลาด ชื่อ คำ และข้อความว่า อุลตร้าแมนมาใช้ ถือว่าเป็นการให้บริการโดยใช้เครื่องหมายบริการที่เลียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้วนอกราชอาณาจักรโดยประสงค์จะขอให้ ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 110 (2) มิได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยนำเอาแคแรกเตอร์ตัวอุลตร้าแมน สัตว์ประหลาด ชื่อ คำ และข้อความว่า อุลตร้าแมน โดยอ้างว่าเป็นชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความในการประกอบการค้าของโจทก์มาใช้หรือทำให้ปรากฏที่สินค้าใดเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของโจทก์อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 272 (1) แต่อย่างใด ฟ้องที่โจทก์บรรยายดังกล่าวจึงไม่มีมูลที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 272 (1) ได้
การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 274 ต้องเป็นการเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนภายในหรือนอกราชอาณาจักรเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นนั้น แต่จากที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ปรากฏในข้อความส่วนใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำการเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ได้จดทะเบียนแล้วนอกราชอาณาจักร ทั้งไม่ปรากฏเครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้กระทำเลียนว่าเป็นเครื่องหมายการค้าใด ฟ้องที่โจทก์บรรยายดังกล่าวจึงไม่มีมูลที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 274
การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 272 (1) ต้องเป็นการเอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้หรือทำให้ปรากฏที่หีบ ห่อ วัตถุที่ใช้หุ้มห่อ แจ้งความ รายการแสดงราคา จดหมายเกี่ยวกับการค้า หรือสิ่งอื่นทำนองเดียวกันเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของผู้อื่นนั้น แต่จากที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยนำเอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความใดในการประกอบการค้าของโจทก์ในภาพยนตร์ชุดอุลตร้าแมนมาทำให้ปรากฏที่สินค้าใดโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของโจทก์ ทั้งการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยนำเอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ และข้อความที่ใช้ในการประกอบการค้าของโจทก์ในภาพยนตร์ชุดอุลตร้าแมนมาทำให้ปรากฏอยู่ในเทปบันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์เรื่อง อุลตร้าแมนทิก้า ที่จำเลยจัดทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์และนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านทางสถานีโทรทัศน์นั้น ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้เอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความมาใช้หรือทำให้ปรากฏที่สินค้า หีบ ห่อ วัตถุที่ใช้ห่อหุ้ม แจ้งความ รายการแสดงราคา จดหมายเกี่ยวกับการค้า หรือสิ่งอื่นทำนองเดียวกันแต่อย่างใด แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยนำเทปบันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์เรื่องอุลตร้าแมนทิก้าออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านทางสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นการให้บริการโดยใช้เครื่องหมายบริการที่เลียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้ว นอกราชอาณาจักร โดยเป็นการนำเอาแคแรกเตอร์ตัวอุลตร้าแมนในลักษณะต่าง ๆ และสัตว์ประหลาดต่าง ๆ รวมทั้งชื่อ คำ และข้อความว่า อุลตร้าแมน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ชุดอุลตร้าแมน ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์นำไปใช้ประโยชน์ในทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นการบรรยายอ้างว่าจำเลยนำเอาแคแรกเตอร์ตัวอุลตร้าแมน สัตว์ประหลาด ชื่อ คำ และข้อความว่า อุลตร้าแมนมาใช้ ถือว่าเป็นการให้บริการโดยใช้เครื่องหมายบริการที่เลียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้วนอกราชอาณาจักรโดยประสงค์จะขอให้ ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 110 (2) มิได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยนำเอาแคแรกเตอร์ตัวอุลตร้าแมน สัตว์ประหลาด ชื่อ คำ และข้อความว่า อุลตร้าแมน โดยอ้างว่าเป็นชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความในการประกอบการค้าของโจทก์มาใช้หรือทำให้ปรากฏที่สินค้าใดเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของโจทก์อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 272 (1) แต่อย่างใด ฟ้องที่โจทก์บรรยายดังกล่าวจึงไม่มีมูลที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 272 (1) ได้
การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 274 ต้องเป็นการเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนภายในหรือนอกราชอาณาจักรเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นนั้น แต่จากที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ปรากฏในข้อความส่วนใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำการเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ได้จดทะเบียนแล้วนอกราชอาณาจักร ทั้งไม่ปรากฏเครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้กระทำเลียนว่าเป็นเครื่องหมายการค้าใด ฟ้องที่โจทก์บรรยายดังกล่าวจึงไม่มีมูลที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 274
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดเล็กน้อย ศาลฎีกาชี้ ประเด็นสำคัญคือแสดงสภาพแห่งข้อหาชัดเจน
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง มิได้บังคับโจทก์ต้องบรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องโดยแจ้งชัดด้วยตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์มุ่งประสงค์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระหนี้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับอันมีมูลฐานมาจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุที่ทำละเมิดเป็นพนักงานและหรือตัวแทนและหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 แสดงตัวรับสภาพความรับผิดต่อพนักงานของโจทก์ การที่ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุจะชื่ออะไร รถยนต์คันเกิดเหตุจะหมายเลขทะเบียนอะไร ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและเมื่อจำเลยทั้งสามยื่นคำให้การต่อสู้คดีโดยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำงานล่วงเวลา: ลักษณะงานเดียวกัน แม้รายละเอียดต่างกัน ก็ถือเป็นงานล่วงเวลา
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยแล้วว่าลักษณะงานของโจทก์ที่ต้องออกไปตรวจสอบอุบัติเหตุเมื่อได้รับแจ้งในเวลาทำงานปกติกับงานที่ทำในเวลาเข้าเวรเป็นงานอย่างเดียวกัน และการที่จำเลยให้โจทก์เข้าเวรหลังเวลาทำงานปกติถือเป็นการทำงานล่วงเวลา การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าแม้งานที่โจทก์ทำในเวลาทำงานปกติกับงานที่ทำในเวลาเข้าเวรจะเป็นงานประเภทเดียวกัน แต่รายละเอียดและความยากลำบากในการทำงานแต่ละช่วงแตกต่างกันจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการทำงานล่วงเวลานั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาแล้วเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงใหม่เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าโจทก์ทำงานล่วงเวลาหรือไม่ เป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4497/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่ชัดเจนเรื่องรายละเอียดการยักยอก ทำให้คำฟ้องเคลือบคลุม แม้ฟ้องตามสัญญา ก็ต้องระบุรายละเอียดการกระทำผิด
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น ผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามสัญญา การที่โจทก์นำสัญญาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองแม้เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญารับผิดรับใช้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีกำหนดจำนวนแน่นอน มิได้ฟ้องจะให้รับผิดในมูลหนี้ละเมิด แต่คำฟ้องของโจทก์มุ่งเน้นถึงการเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้อันมีมูลฐานมาจากการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์เป็นข้อสำคัญ ดังนั้นโจทก์จะต้องบรรยายในคำฟ้องโดยกล่าวแสดงให้แจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไปเมื่อใด เงินที่ยักยอกเป็นจำนวนเท่าใด สินค้าที่ยักยอกเป็นสินค้าประเภทใด จำนวนเท่าใด และราคาเท่าใด หรือมิฉะนั้นโจทก์ก็ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินหรือรายการสินค้าที่อ้างว่าจำเลยที่ 1ยักยอกไปแนบมาท้ายฟ้องด้วย เมื่อโจทก์มิได้กล่าวแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหากับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไป คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31 เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม