คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รื้อถอนทรัพย์สิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 461/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน vs. การรื้อถอนทรัพย์สิน: การใช้สิทธิของเจ้าของทรัพย์ตามกฎหมาย
จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินเกิดเหตุ ย่อมมี สิทธิรื้อถอนทรัพย์ของโจทก์ร่วมที่นำเข้ามาไว้ในที่ดิน ของจำเลยโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายอันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336เมื่อจำเลยใช้สิทธิของเจ้าของทรัพย์ตามสมควรแก่พฤติการณ์จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 461/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินและการรื้อถอนทรัพย์สิน: การใช้สิทธิของเจ้าของทรัพย์ตามกฎหมาย
จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินเกิดเหตุย่อมมีสิทธิรื้อถอนทรัพย์ของโจทก์ร่วมที่นำเข้ามาไว้ในที่ดินของจำเลยโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายอันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336เมื่อจำเลยใช้สิทธิของเจ้าของทรัพย์ตามสมควรแก่พฤติการณ์จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อถอนทรัพย์สินของผู้อื่นในที่พิพาท แม้ยังไม่ชัดเจนเรื่องกรรมสิทธิ์ ถือเป็นทำให้เสียทรัพย์
ผู้เสียหายและจำเลยมีที่ดินติดต่อกัน ที่พิพาทอยู่ระหว่างที่สองแปลงนี้ แต่หลักหมุดเขตสูญหายไปหมด ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท และไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าที่พิพาทเป็นของใคร เพียงแต่รับว่าเสารั้วลวดหนามเป็นของผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ปลูกต้นกกไว้ด้วย เมื่อจำเลยรื้อลวดหนาม ขุดทำลายโคกปลูกมะพร้าว ทั้งได้ถอนต้นกกในที่พิพาทออกทั้งหมด การกระทำของจำเลยเป็นการทำให้เสียทรัพย์ ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 จำเลยจะอ้างว่าตนมีสิทธิทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336, 1337 หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617-1618/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อถอนทรัพย์สินในที่เช่าเพื่อขุดคลอง แม้มิมีเจตนาทำลายทรัพย์สิน แต่ยังต้องรับผิดในละเมิด
จำเลยเป็นเวยยยาวัจจกรของวัด ได้บอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งต้นไม้ที่ปลูกล้ำที่เข่าวัดออกมา เพื่อทางวัดจะได้ขุดคูไปให้ทะลุคลอง ตามที่ได้ตกลงจ้างเขาไว้ โจทก์รับทราบและว่าจะจัดการ แล้วต่อมาไม่จัดการ ประวิงเวลาไว้จนสัญญาที่ทางวัดจ้างผู้ขุดจะหมด จำเลยจึงได้เข้าจัดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและตัดต้นไม้ที่ล้ำนอกเขตเช่า โดยระมัดระวังพยายามให้เกิดการเสียหายน้อยที่สุด เพื่อขุดคลองแล้วนำไปกองไว้ให้โจทก์ เช่นนี้จำเลยยังไม่มีผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เพราะมิได้มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ แต่จำเลยต้องรับผิดในการละเมิดที่ทำแก่ทรัพย์ของโจทก์ ไม่ได้รับการยกเว้นตามประมวลแพ่ง มาตรา 451 นอกจากค่าเสียหายธรรมดาแล้วศาลยังคิดค่าเสียหายให้ตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 446 อีกโสดหนึ่งด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617-1618/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อถอนทรัพย์สินในที่เช่า: เจตนาทำให้เสียทรัพย์ vs. ละเมิดและการชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยเป็นไวยาวัจกรของวัด ได้บอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งต้นไม้ที่ปลูกล้ำที่เช่าวัดออกมา เพื่อทางวัดจะได้ขุดคูไปให้ทะลุคลอง ตามที่ได้ตกลงจ้างเขาไว้ โจทก์รับทราบและว่าจะจัดการแล้วต่อมาไม่จัดการ ประวิงเวลาไว้จนสัญญาที่ทางวัดจ้างผู้ขุดจะหมดจำเลยจึงได้เข้าจัดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและตัดต้นไม้ที่ล้ำนอกเขตเช่า โดยระมัดระวังพยายามให้เกิดการเสียหายน้อยที่สุด เพื่อขุดคลองแล้วนำไปกองไว้ให้โจทก์เช่นนี้ จำเลยยังไม่มีผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เพราะมิได้มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์แต่จำเลยต้องรับผิดในการละเมิดที่ทำแก่ทรัพย์ของโจทก์ ไม่ได้รับการยกเว้นตามประมวลแพ่งมาตรา 451 นอกจากค่าเสียหายธรรมดาแล้วศาลยังคิดค่าเสียหายให้ตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 446 อีกโสดหนึ่งด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายรื้อถอนทรัพย์สิน: ผู้ขายต้องรับผิดหากถูกขัดขวางและไม่สามารถส่งมอบทรัพย์สินได้
ทรัพย์ที่ผู้ขายทำสัญญาขายให้ผู้ซื้อรื้อเอาไป หากมีบุคคลภายนอกมาอายัติว่าไม่ใช่ของผู้ขาย, ผู้ซื้อรื้อเอาไปไม่ได้ ดังนี้ ถือว่าผู้ซื้อถูกรอนสิทธิ ผู้ขายต้องรับผิด..
การที่บุคคลภายนอกมาห้ามหรืออายัติไม่ให้ผู้ซื้อรื้อสิ่งปลูกสร้างที่ซื้อไป ผู้ซื้อก็ไม่กล้ารื้อถอนต่อไป ฝ่ายผู้ขายก็ได้จัดการร้องเรียนขอให้ถอนอายัติแต่ไม่เป็นผลดังนี้ การที่โจทก์ไม่รื้อถอนไปจะถือว่าโจทก์ยินยอม ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 481 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายรื้อถอนทรัพย์สิน - การรอนสิทธิผู้ซื้อจากบุคคลภายนอก ผู้ขายต้องรับผิด
ทรัพย์ที่ผู้ขายทำสัญญาขายให้ผู้ซื้อรื้อเอาไป หากมีบุคคลภายนอกมาอายัดว่าไม่ใช่ของผู้ขายผู้ซื้อรื้อเอาไปไม่ได้ ดังนี้ ถือว่าผู้ซื้อถูกรอนสิทธิ ผู้ขายต้องรับผิด
การที่บุคคลภายนอกมาห้ามหรืออายัดไม่ให้ผู้ซื้อรื้อสิ่งปลูกสร้างที่ซื้อไป ผู้ซื้อก็ไม่กล้ารื้อถอนต่อไปฝ่ายผู้ขายก็ได้จัดการร้องเรียนขอให้ถอนอายัดแต่ไม่เป็นผล ดังนี้ การที่โจทก์ไม่รื้อถอนไปจะถือว่าโจทก์ยินยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2567

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผิดสัญญา การบังคับคดีรื้อถอนทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง อ้างว่าสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน คือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊ส รวมทั้งอาคารพักพนักงานจำนวน 2 ชั้น ฯลฯ จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยเป็นผู้ขออนุญาตและปลูกสร้างเอง การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยอยู่ในที่ดินอีก 13 เดือน แม้ไม่ได้ระบุถึงกรณีให้รื้อถอนหรือขนย้ายถังแก๊สใต้ดิน ถังน้ำมันใต้ดิน และอื่น ๆ ไว้ด้วยก็ตาม แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้ตกลงให้ทรัพย์สินของจำเลยบนที่ดินพิพาทตกเป็นของโจทก์ ไม่มีเหตุที่โจทก์จะเก็บถังน้ำมัน ถังเก็บแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ ตามพฤติการณ์แห่งคดี เห็นได้ว่า ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยต้องการย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาท และโจทก์ต้องการให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินเช่นกัน เมื่อจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทจึงเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์บังคับคดีได้