พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,439 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5772/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานข่มขืนโทรมหญิงและการใช้ดุลยพินิจลงโทษผู้ร่วมกระทำความผิด
จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ร่วมกันบังคับขู่เข็ญนำตัวผู้เสียหายกับเพื่อนจากห้องพักที่อยู่อาศัยไปยังสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสถานที่เปลี่ยวลับตาคนแล้วผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างต่อเนื่องกันถึง 3 คน ในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยจนอวัยวะเพศของผู้เสียหายมีบาดแผลตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ถือได้ว่าเป็นการเจตนาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง
ในคดีที่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันถูกฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานเดียวกัน ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบังคับให้ศาลต้องใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษผู้ร่วมกระทำความผิดแต่ละคนให้เท่ากัน ศาลอาจใช้ดุลยพินิจในการลงโทษจำเลยแต่ละคนแตกต่างกันไปได้ ขึ้นอยู่กันพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆ ไป เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ร้ายแรงกว่าจำเลยที่ 2 และผู้ร่วมกระทำความผิดคนอื่น ทั้งจำเลยที่ 1 มีอายุถึง 27 ปี มากกว่าจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเพียงพอแล้ว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 1 มาโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่เพราะเห็นว่าเหตุบรรเทาโทษนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
ในคดีที่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันถูกฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานเดียวกัน ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบังคับให้ศาลต้องใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษผู้ร่วมกระทำความผิดแต่ละคนให้เท่ากัน ศาลอาจใช้ดุลยพินิจในการลงโทษจำเลยแต่ละคนแตกต่างกันไปได้ ขึ้นอยู่กันพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆ ไป เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ร้ายแรงกว่าจำเลยที่ 2 และผู้ร่วมกระทำความผิดคนอื่น ทั้งจำเลยที่ 1 มีอายุถึง 27 ปี มากกว่าจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเพียงพอแล้ว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 1 มาโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่เพราะเห็นว่าเหตุบรรเทาโทษนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5664/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและรับของโจรเป็นความผิดต่างกรรมกัน ต้องลงโทษทุกกรรมตาม ป.อ. มาตรา 91
การมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครอง เป็นความผิดนับแต่วาระแรกที่จำเลยได้อาวุธปืนของกลางมาไว้ในครอบครอง และเป็นความผิดอยู่ตลอดเวลาเรื่อยไปจนกระทั่งจำเลยถูกจับได้พร้อมด้วยอาวุธปืนของกลาง ส่วนความผิดฐานรับของโจรที่จำเลยให้การรับสารภาพในคดีนี้นั้น เมื่อจำเลยรับของโจรอาวุธปืนของกลางในขณะใดขณะหนึ่งในระหว่างวันที่ 7 กันยายน 2547 เวลากลางวันถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 เวลากลางวัน ความผิดฐานรับของโจรอาวุธปืนของกลางจึงเป็นความผิดในขณะใดขณะหนึ่งและเป็นการกระทำความผิดซึ่งอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากความผิดฐานมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองได้การกระทำความผิดของจำเลยที่โจทก์กล่าวหาทั้งสองคดีจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานจัดและเป็นเจ้ามือพนันสลากกินรวบเป็นกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรม
ความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบและความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้การพนันสลากกินรวบต่างเป็นความผิดอยู่ในตัวเองไม่เกี่ยวข้องกัน เมื่อคำฟ้องโจทก์ระบุยืนยันว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมโดยเป็นทั้งผู้จัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบและเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ และจำเลยให้การรับสารภาพ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน ศาลจึงต้องพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4985/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: การพิจารณาฐานความผิดและขอบเขตการลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด
จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างประจำของกรมชลประทาน ตำแหน่งพนักงานผู้รักษาอาคารชลประทาน จำเลยมิใช่พนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100 จึงไม่อาจลงโทษจำเลยโดยระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4841/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพที่ไม่ชัดเจนฐานความผิด ทำให้ศาลไม่สามารถลงโทษตามฟ้องได้ จำเป็นต้องมีการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ฐานความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการให้บริการฉายหรือให้เช่าเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ โดยได้ประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนและมิได้รับยกเว้นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ฯ มาตรา 6 วรรคหนึ่ง และ 20 วรรคสอง ซึ่งเป็นคนละฐานความผิดและมีบทกำหนดโทษแตกต่างกัน ตามคำฟ้องแสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว การที่จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหาจึงเป็นคำรับสารภาพที่ไม่สามารถรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดในข้อหาใด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบเพื่อให้ได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใด เพื่อศาลจะได้นำข้อเท็จจริงที่ได้ความมาปรับบทลงโทษได้ แต่โจทก์มิได้นำสืบ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้
การที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับและตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ ตามมาตรา 19 วรรคสอง และมาตรา 19 วรรคสี่ ครบถ้วนแล้ว เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพโจทก์ก็หาจำต้องสืบพยานแต่อย่างใดไม่ ฎีกาของโจทก์มิได้มีข้อความโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบเพราะเหตุใด ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดฯ มาตรา 3 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ มาตรา 4 และ ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
การที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับและตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ ตามมาตรา 19 วรรคสอง และมาตรา 19 วรรคสี่ ครบถ้วนแล้ว เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพโจทก์ก็หาจำต้องสืบพยานแต่อย่างใดไม่ ฎีกาของโจทก์มิได้มีข้อความโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบเพราะเหตุใด ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดฯ มาตรา 3 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ มาตรา 4 และ ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4278/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ การลงโทษ และการแก้ไขคำพิพากษาเกี่ยวกับการบังคับค่าปรับ
ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน 50 บาท แต่ ป.อ. มาตรา 30 บัญญัติว่า ในการกักขังแทนค่าปรับ ให้ถืออัตราสองร้อยบาทต่อหนึ่งวัน ฉะนั้น การบังคับค่าปรับจึงกักขังแทนค่าปรับไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 จึงเป็นการไม่ถูกต้อง แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4165/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ในเคหสถานและการลักทรัพย์ต่อเนื่อง ศาลพิพากษาลงโทษฐานลักทรัพย์หลายกรรมต่างกันได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักบัตรถอนเงินสดของผู้เสียหายในเคหสถาน อันเป็นการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (8) วรรคแรก และจำเลยใช้บัตรดังกล่าวเบิกถอนเงินสดผ่านเครื่องฝาก - ถอนเงินอัตโนมัติ อันเป็นการลักทรัพย์ของผู้เสียหายอีกจำนวน 5 ครั้ง ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 334 และจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำฟ้องว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตาม ป.อ. มาตรา 335 และลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 แม้ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 335 เพียงมาตราเดียว แต่ความผิดข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานตามที่โจทก์ฟ้องนั้นรวมการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง การที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 ด้วยจึงเป็นการลงโทษจำเลยในการกระทำผิดตามที่พิจารณาได้ความ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยลักบัตรถอนเงินสดไปจากผู้เสียหาย แล้วนำไปลักเงินของผู้เสียหายโดยผ่านเครื่องฝาก - ถอนเงินอัตโนมัติรวมจำนวน 5 ครั้ง ทรัพย์ที่จำเลยลักเป็นคนละประเภทและเป็นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระ และอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากกันได้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยลักบัตรถอนเงินสดไปจากผู้เสียหาย แล้วนำไปลักเงินของผู้เสียหายโดยผ่านเครื่องฝาก - ถอนเงินอัตโนมัติรวมจำนวน 5 ครั้ง ทรัพย์ที่จำเลยลักเป็นคนละประเภทและเป็นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระ และอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากกันได้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4009-4010/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าเป็นคนละกรรมต่างกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ชักชวนผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปรับประทานข้าวต้มด้วยกัน ระหว่างทางจำเลยที่ 3 จอดรถและรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั่งรถไปด้วยโดยเปลี่ยนให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาจอดในที่เกิดเหตุ และจำเลยที่ 3 วิ่งหนีออกไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันรุมชกต่อยผู้เสียหายจนล้มลง ผู้เสียหายแกล้งทำเป็นสลบ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันปลดเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปได้แล้วจึงช่วยกันจับผู้เสียหายโยนลงไปในคลองโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพื่อปกปิดความผิดฐานปล้นทรัพย์ซึ่งสำเร็จเสร็จสิ้นไปก่อนแล้ว มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายมาแต่แรก การพยายามฆ่าผู้เสียหายเพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง จึงเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหาก การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3516/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษคดียาเสพติด: ข้อมูลผู้ซื้อไม่เพียงพอต่อการลดโทษ และเหตุตั้งครรภ์ไม่สมเหตุผลเพียงพอต่อการรอลงโทษ
แม้จำเลยได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยซื้อฝิ่นมาจาก น. ตามบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน แต่ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวขยายผลจับกุมบุคคลที่จำเลยกล่าวอ้างได้หรือไม่อย่างไร คำให้การของจำเลยยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์หลายกรรมต่างกัน การเรียงกระทงลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องแต่ละกระทงระบุถึงวันเวลาที่จำเลยนำสินค้าของผู้เสียหายแต่ละชนิดไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้ารวม 14 ครั้ง และลูกค้าแต่ละรายได้ผ่อนชำระค่าสินค้าให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว ต่อมาวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดเดือนมีนาคม 2544 จำเลยได้เบียดบังเงินค่าสินค้าของผู้เสียหายที่ลูกค้าแต่ละรายชำระให้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 150,720 บาท ฟ้องโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิด อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว แม้ฟ้องโจทก์แต่ละกระทงมิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับเงินค่าผ่อนชำระสินค้าแต่ละงวดเป็นจำนวนเท่าใด จึงรวมเป็นเงินที่จำเลยเบียดบังไป ก็เป็นเรื่องรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณาได้ ทั้งจำเลยย่อมทราบดีว่าจำเลยได้รับเงินค่าสินค้าจากลูกจ้างงวดละเท่าใด เพราะจำเลยเป็นผู้รับชำระจากลูกค้าด้วยตนเอง ฟ้องโจทก์แต่ละกระทงจึงไม่เคลือบคลุม
เงินค่าสินค้าที่จำเลยยักยอกไปแต่ละครั้ง เกิดจากการที่จำเลยขายสินค้าให้แก่ลูกค้าแต่ละรายต่างกรรมต่างวาระกัน และเป็นเงินค่าสินค้าแต่ละชนิดที่ลูกค้าชำระให้ต่างคราวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
เงินค่าสินค้าที่จำเลยยักยอกไปแต่ละครั้ง เกิดจากการที่จำเลยขายสินค้าให้แก่ลูกค้าแต่ละรายต่างกรรมต่างวาระกัน และเป็นเงินค่าสินค้าแต่ละชนิดที่ลูกค้าชำระให้ต่างคราวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน