คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลำดับการบังคับคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8616/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บังคับคดีตามคำพิพากษาซื้อขายบ้าน: โจทก์ต้องดำเนินการตามลำดับที่ศาลกำหนด แม้บ้านมีสภาพชำรุด
คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้จำเลยทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินแปลงที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายและรับชำระราคาบ้านพร้อมที่ดินส่วนที่เหลือ ให้จำเลยติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะขายและชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะโอนขายบ้านพร้อมที่ดินแก่โจทก์ หากไม่อาจโอนขายบ้านและที่ดินได้ให้คืนเงิน 950,000 บาท และชำระค่าเสียหาย 1,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงิน 1,950,000 บาท ในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนั้นการบังคับคดีจึงต้องอาศัยคำพิพากษาดังกล่าวเป็นหลักแห่งการบังคับ เมื่อจำเลยได้ติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะซื้อจะขายและพร้อมจะทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินด้วยการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ เท่ากับจำเลยพร้อมจะปฏิบัติตามคำพิพากษาในลำดับแรกแล้ว โจทก์จะกล่าวอ้างและเรียกร้องให้จำเลยแก้ไขความชำรุดบกพร่องและความไม่เรียบร้อยของบ้านพิพาทก่อนโดยจำเลยไม่ยอมรับและตกลงด้วยนั้นไม่ได้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าบ้านพิพาทอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย โจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8281/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ลำดับการบังคับคดีตามสัญญาต่างตอบแทน และสิทธิในการขอปฏิบัติการชำระหนี้ก่อน
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์มีสิทธิบังคับจำเลยสามประการ ประการแรกคือบังคับให้โอนสิทธิในที่ดินพิพาทโดยโจทก์ต้องชำระเงินตอบแทนแก่จำเลย ประการที่สองคือบังคับให้ใช้ค่าเสียหายในกรณีที่จำเลยไม่สามารถโอนสิทธิในที่ดินพิพาทได้ และประการที่สามคือให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ออกจากที่ดินพิพาท สำหรับสิทธิของโจทก์ในประการแรกและประการที่สองการบังคับคดีต้องเป็นไปตามลำดับเพราะมิใช่กรณีที่อาจเลือกการชำระหนี้ได้ เมื่อที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์สามารถใช้สิทธิบังคับในประการแรกคือให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้ โจทก์ย่อมไม่อาจใช้สิทธิบังคับในประการที่สองให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์เพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยมาชำระค่าเสียหายจึงเป็นการไม่ชอบ
จำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ต้องชำระเงินจำนวนหนึ่งให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ เห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกันในลักษณะของสัญญาต่างตอบแทน กล่าวคือฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้เมื่อโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ชอบที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้ในส่วนของตนเสียก่อน แล้วจึงขอให้ศาลบังคับคดีแก่จำเลยได้ เมื่อไม่ปรากฏว่ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขอปฏิบัติการชำระหนี้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเลยเช่นนี้ จึงต้องถือว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้ในส่วนของตนและอาจใช้สิทธิขอให้บังคับคดีแก่อีกฝ่ายหนึ่งตามสัญญาต่อไป ยังไม่อาจถือว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัดหรือผิดสัญญา ฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ผิดนัดจึงไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการบังคับคดี: โจทก์ต้องบังคับทรัพย์จำเลยที่ 1-2 ก่อน แม้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 เป็นลูกหนี้ร่วม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาเดิมจำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดี แต่ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 แถลงสละข้อต่อสู้ทั้งหมด รับว่าฟ้องโจทก์เป็นความจริง ขอให้โจทก์บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ที่2 ก่อน หากไม่มีทรัพย์หรือมีไม่พอก็ให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 3 โจทก์แถลงไม่ขัดข้อง ดังนี้ จึงเท่ากับเป็นการตกลงในเรื่องการบังคับคดีไว้ล่วงหน้าก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยที่ 3 รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแต่ถ้าจะต้องมีการบังคับคดี โจทก์ก็ผูกพันที่จะต้องบังคับเอาแก่จำเลยที่1 ที่ 2 ก่อนตามข้อตกลง และชอบที่ศาลชั้นต้นจะทำการไต่สวนให้ปรากฏเสียก่อนว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีทรัพย์สินที่โจทก์สามารถจะบังคับเอาชำระหนี้ได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการบังคับคดีเนื่องจากจำเลยไม่ทราบคดีและศาลบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับในคำพิพากษา
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกันจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามขั้นไม่เรียงตามลำดับในคำพิพากษา คือศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอนให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียว และศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย เป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นขั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9217/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม ต้องบังคับทรัพย์จำนองก่อน หากไม่พอจึงบังคับทรัพย์อื่นได้
คำพิพากษาตามยอมกำหนดให้บังคับแก่ห้องชุดจำนองก่อน หากไม่พอชำระจำเลยยอมชำระส่วนที่ขาดจนครบ ตราบใดที่ยังมิได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง ก็ไม่อาจทราบว่ายังมีหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเหลืออยู่อีกเพียงใดที่จำเลยยินยอมจะชำระหนี้นั้นจนครบ เมื่อการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต้องอาศัยและตามคำบังคับคดีที่ได้ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 เช่นนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยให้ผิดไปจากคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้
การบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นกำหนดให้ยึดห้องชุดจำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดจนครบเป็นการกำหนดลำดับในการบังคับแก่ทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาและตราบใดที่เจ้าพนักงานบังคับคดียังขายทอดตลาดห้องชุดจำนองตามคำพิพากษาไม่ได้ ก็ไม่อาจทราบว่าราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุดจำนองนั้นเพียงพอแก่การชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ เพียงใด แม้ห้องชุดจำนองมีราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีต่ำกว่าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยทั้งสี่ต้องชำระก็ตาม แต่ได้ความว่า โจทก์เพิ่งขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดห้องชุดจำนองเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 และไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีการนำห้องชุดจำนองออกขายทอดตลาดมาก่อนหรือไม่อย่างไร ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นได้นับแต่ปี 2544 เป็นต้นมา การปล่อยให้เวลาการบังคับคดีล่วงเลยมานานแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้ขวนขวายที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์จำนองภายในเวลาอันสมควร ทั้งยังไม่มีการนำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดมาก่อนเลย ย่อมเห็นได้ชัดว่าการบังคับคดีไม่เป็นลำดับไปตามคำพิพากษาของศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ซึ่งบัญญัติให้การบังคับคดีต้องอาศัยและตามคำบังคับที่ได้ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ทั้งไม่มีพฤติการณ์พิเศษอื่นใดที่จะอ้างความเป็นธรรมเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพิ่มเติมโดยให้รอขายทอดตลาดไว้ก่อนให้ผิดไปจากคำพิพากษาของศาลซึ่งจะต้องมีการบังคับคดีได้