พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานการชำระหนี้เช็คพิพาท – ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็ค หาใช่ฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสืออันจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว จึงจะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 653 บัญญัติไว้แต่อย่างใดจำเลยย่อมนำสืบด้วยพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วได้
ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยคำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยว่ามีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่ โดยอ้างข้อกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 แล้วสรุปว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้เช็คพิพาทให้โจทก์ เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยคำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยว่ามีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่ โดยอ้างข้อกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 แล้วสรุปว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้เช็คพิพาทให้โจทก์ เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5615/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลแรงงานวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวนและขัดแย้งกับข้อตกลงเดิม ถือเป็นการไม่ชอบ
การลากิจตามเอกสารหมาย ร.16 ของผู้คัดค้านนั้น ผู้ร้องมิได้บรรยายหรือกล่าวไว้ในคำร้องว่าผู้คัดค้านได้ขาดงานโดยฝ่าฝืนระเบียบการลาซึ่งผู้ร้องไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษ การที่ศาลแรงงานนำมาฟังเป็นโทษแก่ผู้คัดค้านจึงเป็นการไม่ชอบ ส่วนเอกสารหมาย ร.21 เป็นการลากิจ ซึ่งผู้คัดค้านได้ยื่นใบลาล่วงหน้าจึงไม่ผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง แต่เป็นการลาเกินกำหนด 4 วัน เป็นกรณีไม่ได้รับค่าจ้างตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานซึ่งผู้ร้องก็ไม่ได้อนุมัติการลา แต่ผู้ร้องได้หมายเหตุไว้ว่า ในกรณีนี้ผู้จัดการบุคคลได้เรียกมาว่ากล่าวตักเตือนให้นำไปปรับปรุง ผู้คัดค้านรับปากว่าขอเป็นครั้งสุดท้ายในครั้งนี้ ซึ่งหากมีอีกจะยอมถือเป็นขาดงานและลงชื่อผู้จัดการไว้ ตามข้อความดังกล่าวผู้ร้องไม่ติดใจเอาโทษแก่ผู้คัดค้านและไม่ถือว่าเป็นความผิดแล้ว ผู้ร้องจะนำการลากิจครั้งนี้มากล่าวโทษผู้คัดค้านอีกหาได้ไม่ ผู้คัดค้านจึงมิได้กระทำผิดซ้ำคำเตือน
ที่ศาลแรงงานรับฟังเอกสารหมาย ร.16 ที่ผู้ร้องอ้าง เป็นการฟังพยานนอกเหนือจากที่กล่าวในคำร้องและรับฟังเอกสารหมาย ร.21 ซึ่งผู้คัดค้านไม่ผิดเป็นว่าผู้คัดค้านมีความผิด เป็นการวินิจฉัยพยานหลักฐานเป็นอย่างอื่นนอกสำนวนเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5), 246 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ที่ศาลแรงงานรับฟังเอกสารหมาย ร.16 ที่ผู้ร้องอ้าง เป็นการฟังพยานนอกเหนือจากที่กล่าวในคำร้องและรับฟังเอกสารหมาย ร.21 ซึ่งผู้คัดค้านไม่ผิดเป็นว่าผู้คัดค้านมีความผิด เป็นการวินิจฉัยพยานหลักฐานเป็นอย่างอื่นนอกสำนวนเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5), 246 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงนอกฟ้องเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ชอบ แม้ไม่ได้ยกในฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เพื่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าก่นสร้าง แผ้วถางป่าอันเป็นการทำลายป่าเพื่อยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1และจำเลยอื่นให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 แล้วรอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปีเช่นเดียวกับจำเลยอื่น คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนร่วมกันกระทำผิดดังฟ้องโจทก์ การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 - ที่ 17 ให้มาร่วมกระทำผิดด้วย เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่บรรยายฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1โดยไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติมาแล้วเป็นการวินิจฉัยไม่ชอบ แม้คู่ความจะมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ขอลงโทษหนักขึ้นนอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในชั้นต้นและเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าก่นสร้าง แผ้วถางป่าอันเป็นการทำลายป่าเพื่อยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 และจำเลยอื่นให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 แล้วรอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปีเช่นเดียวกับจำเลยอื่น คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนร่วมกันกระทำผิดดังฟ้องโจทก์ การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2- ที่ 17ให้มาร่วมกระทำผิดด้วย เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่บรรยายฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติมาแล้วเป็นการวินิจฉัยไม่ชอบ แม้คู่ความจะมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9552/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องบุคคลภายนอกสัญญา, การสมคบฉ้อฉล, และการวินิจฉัยค่าเสียหายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินในฐานะผู้ขาย โดยไม่มีข้อความใดที่สื่อความหมายให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวจึงมีผลผูกพันและบังคับได้เฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะอยู่ด้วยในขณะทำสัญญาและจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในฐานะเป็นพยาน ก็หาใช่คู่สัญญากับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญาได้
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยประเด็นค่าเสียหายให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ไม่เห็นด้วยเพราะศาลไม่ได้คำนึงถึงความเจริญของที่ดินซึ่งเป็นเหตุให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้นมาพิจารณากำหนดค่าเสียหาย ปรากฏว่าปัญหาดังกล่าวนี้โจทก์เคยยกขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย การที่โจทก์ฎีกาในเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้วินิจฉัยเรื่องที่โจทก์ฎีกาดังกล่าวไม่ชอบเพราะเหตุใด ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยประเด็นค่าเสียหายให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ไม่เห็นด้วยเพราะศาลไม่ได้คำนึงถึงความเจริญของที่ดินซึ่งเป็นเหตุให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้นมาพิจารณากำหนดค่าเสียหาย ปรากฏว่าปัญหาดังกล่าวนี้โจทก์เคยยกขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย การที่โจทก์ฎีกาในเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้วินิจฉัยเรื่องที่โจทก์ฎีกาดังกล่าวไม่ชอบเพราะเหตุใด ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งการครอบครองที่ดินต้องเกิดจากการครอบครองที่ดินของผู้อื่น มิใช่การแย่งจากที่ดินของตนเอง การวินิจฉัยอายุความจึงไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยให้การว่า บิดาจำเลยซื้อที่ดินพิพาทให้จำเลย แม้จำเลยจะต่อสู้ด้วยว่าโจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนและถูกแย่งการครอบครองคำให้การของจำเลยก็ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 เพราะการแย่งการครอบครองจะมีขึ้นได้แต่เฉพาะที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยแย่งการครอบครองมา จำเลยก็ไม่อาจอ้างสิทธิตามมาตรา 1375 มาเป็นข้อตัดฟ้องได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่ถูกจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง แล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยในเนื้อหาที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย จึงเป็นการไม่ชอบ คดีมีเหตุให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี