คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกายกฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 11 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2313/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องอาญาขาดองค์ประกอบความผิดฐานมั่วสุมทำร้ายผู้อื่นและพาอาวุธ ศาลฎีกายกฟ้อง
โจทก์ฟ้องด้วยวาจาว่า จำเลยทั้งสองกับพวกมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปเพื่อติดตามทำร้ายบุคคลอื่น ซึ่งเป็นการทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ และขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 371 ด้วย แต่บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์และคำฟ้องที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ไม่ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันพามีดดาบซึ่งเป็นอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร อันจะเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าว คำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ มาตรา 19 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ. ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดฯ มาตรา 3 แม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดดังกล่าวได้ ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2060/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กฎหมายที่ยกเลิกแล้วไม่อาจใช้ลงโทษได้ ศาลฎีกายกฟ้องเมื่ออ้างกฎหมายที่หมดอายุ
ปัญหาว่าวันที่จำเลยกระทำผิดเป็นเวลาที่ได้มีพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 ออกใช้บังคับแล้ว ยังจะถือว่าจำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 296 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ การที่โจทก์อ้างกฎหมายที่ยกเลิกแล้วมาขอให้ลงโทษจำเลยนั้นเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายอันใดมาเลย เพราะประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ไม่มีอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทกฎหมายผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 5

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ประกันตามสัญญาประกันเมื่อจำเลยหลบหนีและไม่มาศาล แม้ศาลฎีกายกฟ้อง
การที่ผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลได้ภายในเวลาที่ศาลกำหนด จนศาลได้มีคำสั่งปรับนายประกันและออกหมายจับจำเลยไปแล้ว ครั้นเมื่อศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้ประกันก็ไม่สามารถนำตัวจำเลยมาศาลได้ เป็นเหตุให้ศาลต้องเลื่อนการอ่านไปและออกหมายจับจำเลยอีก ต่อมาเมื่อศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลยไปแล้ว โดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ ผู้ประกันจึงเพิ่งนำตัวจำเลยมาส่งศาลและขอลดค่าปรับ พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยเจตนาหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา แม้ศาลฎีกาจะพิพากษายกฟ้องโจทก์ก็ไม่ทำให้ผู้ประกันพ้นความรับผิดตามสัญญาประกันไปได้ เพราะผลของคำพิพากษาไม่เป็นเหตุที่จะนำมาประกอบการพิจารณาว่าผู้ประกันผิดสัญญาประกันหรือไม่ ทั้งการไม่ได้ตัวผู้กระทำผิดมาพิจารณาพิพากษาไม่ว่าจำเลยจะต้องถูกลงโทษหรือไม่ก็ตาม ย่อมทำให้เสียหายแก่การยุติธรรม จึงไม่มีเหตุที่จะลดหย่อนค่าปรับให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมรดก: ศาลฎีกายกฟ้องเมื่อข้อเท็จจริงไม่สนับสนุนการเป็นส่วนหนึ่งของมรดก
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกเมื่อศาลฎีกาฟังว่าที่พิพาทมิได้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมรดกแล้ว แม้ในชั้นฎีกาจะมีเพียงโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นฎีกา โดยจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาด้วยแต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่สมบูรณ์ – ศาลฎีกายกฟ้อง เพราะแม้ฟ้องสมบูรณ์ก็ไม่ทำให้จำเลยมีความผิด
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายด้วยสำหรับข้อเท็จจริงเป็นอันเสร็จเด็ดขาดแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อกฎหมายที่ว่า ฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วนั้น แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยไปก็ไม่มีประโยชน์ หากจะฟังว่าฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ ก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์ เพราะจะเอาความผิดแก่จำเลยมิได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1566/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาที่ขาดหลักฐานยืนยันการกระทำผิด ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายกระทงหนึ่งจำคุก 2 เดือน และฐานบุกรุกสถานที่ราชการอีกกระทงหนึ่งจำคุก 1 เดือน ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มิได้สืบว่ารถการ์ดที่จำเลยขึ้นไปนั้นเป็นสถานที่สำหรับใช้ในราชการซึ่งผู้หนึ่งผู้ใดจะเข้าไปมิได้ ฉะนั้นจำเลยยังไม่ผิดฐานนี้ พิพากษาแก้ว่าจำเลยไม่ผิดฐานบุกรุกนอกจากนี้ยืน โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตามศาลชั้นต้น ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยมิได้ขึ้นไปบนรถการ์ด ฉะนั้นความผิดในเรื่องบุกรุกจึงไม่ต้องวินิจฉัย และเมื่อฟังไม่ได้ว่าขึ้นไปรถการ์ดข้อหาโจทก์ที่ว่าจำเลยขึ้นไปทำร้ายเขาบนรถการ์ดก็ย่อมตกไปด้วย แม้โจทก์ฝ่ายเดียวจะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกฐานเดียวก็ดี เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีความผิด ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ศาลฎีกาต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2478

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปืนของกลางโดยไม่ทราบที่มา ศาลฎีกายกฟ้องเนื่องจากพยานโจทก์ไม่เพียงพอ
ส่วนของเจ้าทรัพย์หายไป + 5 ปี แล้วจับได้จำเลย ที่ปืนมีรอยขูด+ เบียนออก แม้จำเลย+คดีกลับไปกลับมายังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลย+ฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8401/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับคดียาเสพติดสิ้นสุดลงเมื่อศาลฎีกายกฟ้องคดีอาญา
บทบัญญัติมาตรา 32 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด ให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง..." ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในความผิดอันเป็นเหตุให้มีการยึดทรัพย์รายนี้ การยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ผู้ร้องอ้างว่าเกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้คัดค้านย่อมสิ้นสุดลง ศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินนั้นได้จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า ทรัพย์สินดังกล่าวของผู้คัดค้านนั้นเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ ตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่สมบูรณ์ (ไม่มีลายมือชื่อ) และการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีที่ผิดพลาด ทำให้ศาลฎีกายกฟ้อง
คำขอท้ายฟ้องโจทก์เป็นเอกสารที่ถ่ายสำเนาจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์ผู้เรียงและผู้พิมพ์ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) หากศาลชั้นต้นตรวจพบข้อผิดพลาดดังกล่าวก็จะใช้อำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 161 สั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้องให้ถูกต้องหรือยกฟ้อง หรือไม่ประทับฟ้องได้ แต่ถ้าศาลชั้นต้นสั่งประทับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาจนคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แล้ว การที่จะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องหรือไม่ประทับฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง ย่อมล่วงเลยเวลาที่จะปฏิบัติได้เพราะศาลชั้นต้นได้สั่งประทับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้นแล้ว การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาพิพากษาคดีจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจพิจารณาฟ้องของโจทก์ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4543/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายทำให้จำเลยไม่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา ศาลฎีกายกฟ้องตามบทเดิมและลงโทษตามกฎหมายใหม่
ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2549 ได้มี พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการสื่อสารแห่งประเทศไทยฯ ออกมาใช้บังคับแล้วโดยบัญญัติให้ พ.ร.บ.การสื่อสารแห่งประเทศไทยฯ เป็นอันยกเลิกตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไป และกำหนดให้นำ พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจฯ มาใช้บังคับแทน ซึ่งมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. การสื่อสารแห่งประเทศไทยฯ ที่ถูกยกเลิกบัญญัติให้พนักงานของการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. และ พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ ที่ใช้บังคับแทนมิได้บัญญัติให้เป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. จำเลยจึงไม่เป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 147 จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาเรื่องการปรับบทลงโทษเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
of 2