พบผลลัพธ์ทั้งหมด 121 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8143/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้งได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจ้างทำของ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยชำระค่าจ้างแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์นำความอันเป็นเท็จมาฟ้องทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยอันเป็นเรื่องละเมิด สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องและฟ้องแย้งเป็นคนละเรื่อง คนละเหตุ ไม่เกี่ยวข้องกัน ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5578/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตฟ้องแย้ง: ประเด็นไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม และกระทบสิทธิบุคคลภายนอก ศาลไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตเพื่อแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินของจำเลยให้ถูกต้องแต่โจทก์ไปคัดค้าน จึงขอให้บังคับโจทก์ยินยอมรับการสอบเขตที่ดินของจำเลย เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลย มูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทตามประเด็นในคำฟ้องเดิมของโจทก์ซึ่งเป็นเรื่องขับไล่จำเลยผู้บุกรุกที่ดินของโจทก์ไม่อาจฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทาย แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยให้ตรงกับความจริงเป็นฟ้องแย้งที่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทายซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลจะรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยไว้พิจารณาไม่ได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1702/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ต้องวางค่าธรรมเนียมตามคำพิพากษาพร้อมกัน หากไม่วาง ศาลไม่รับอุทธรณ์
ป.วิ.พ. มาตรา 229 บัญญัติว่า การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย... ดังนั้น เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นอกจากจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. แล้ว จำเลยยังต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของมาตรา 229 กล่าวคือต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วย จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงินปลอม: ศาลไม่รับฟ้องแย้ง เนื่องจากจำเลยไม่ต้องฟ้องแย้งเพื่อต่อสู้คดี
จำเลยให้การว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้เงินที่โจทก์ฟ้องเนื่องจากจำเลยกู้ยืมเงินเพียง 100,000 บาท แต่โจทก์กรอกจำนวนเงินเป็น 275,000 บาท โดยจำเลยไม่ยินยอม สัญญากู้เงินจึงเป็นเอกสารปลอม หากฟังได้ตามที่จำเลยอ้างก็ย่อมมีผลทำให้สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้รับการบังคับให้ตามกฎหมายและศาลย่อมนำมาเป็นเหตุยกฟ้องได้อยู่แล้ว จำเลยไม่จำต้องฟ้องแย้ง ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้โจทก์รับชำระหนี้ตามจำนวนที่กู้ยืมกันตามที่จำเลยกล่าวอ้าง และไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ส่งมอบสัญญากู้เงินปลอมแก่จำเลยเพื่อนำไปทำลายได้ตามฟ้องแย้งเช่นกัน เพราะสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นเอกสารของโจทก์และโจทก์ก็ไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องส่งมอบให้แก่จำเลยเพื่อนำไปทำลาย การที่โจทก์อาจนำสัญญากู้เงินดังกล่าวไปเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกโดยที่บุคคลภายนอกไม่ทราบข้อเท็จจริงตามที่จำเลยให้การ ซึ่งทำให้จำเลยได้รับความเสียหายได้รับการดูถูกว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวจำเลยจึงต้องเรียกสัญญากู้มาทำลายเพื่อปกป้องสิทธิของจำเลยนั้น ก็มิใช่เหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อฟ้องแย้งโจทก์ได้ หากจำเลยได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์อย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4247/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่ฟ้องขับไล่โดยไม่มีสิทธิ ไม่เกี่ยวพันกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารหอพัก โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 อยู่ต่อไป ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ออกไปจากที่ดินและหอพัก พร้อมกับให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฟ้องแย้งว่าโจทก์ฟ้องโดยรู้อยู่ว่าไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้เพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้รับความเสียหาย ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นการกล่าวอ้างในการใช้สิทธิทางศาลเนื่องมาจากโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยการฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 ต่อศาลโดยไม่สุจริต ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงเป็นฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุแห่งการฟ้องของโจทก์มาเป็นข้อกล่าวอ้างซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิม และเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบมาตรา 179 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องสอดต้องมีคำขอบังคับชัดเจน จึงจะชอบด้วยกฎหมาย หากไม่มี ศาลไม่รับพิจารณา
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดโดยอ้างว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้และคู่ความขอให้ศาลไกล่เกลี่ยเพื่อประนีประนอมยอมความต่อกัน หากศาลมีคำพิพากษาตามยอมจะเป็นผลเสียหายแก่ผู้ร้องสอด จึงเป็นกรณีจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) เป็นการร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ผู้ร้องสอดอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์เดิมและจำเลยอยู่ในฐานะเป็นจำเลย เมื่อคำร้องสอดดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1 (3) จึงต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามมาตรา 172 วรรคสอง แต่คำร้องสอดของผู้ร้องสอดไม่มีคำขอบังคับโดยชัดแจ้ง จึงเป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องความสามารถในการอุทธรณ์ ทำให้ศาลไม่รับอุทธรณ์ได้
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถใน คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์และมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาหนึ่งเดือนนับแต่ศาลมีคำพิพากษา จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ชอบแล้ว ไม่อาจอนุญาตให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถได้อีก ให้ยกคำร้อง ดังนี้เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและการฟ้องแย้งให้ซื้อที่ดินส่วนที่รุกล้ำ ศาลไม่รับฟ้องแย้งเนื่องจากไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิมและขัดกฎหมาย
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ประมาณ 1.5 เมตร ยาวประมาณ 200 เมตร ตลอดแนวที่ดิน จำเลยให้การในตอนแรกปฏิเสธว่า จำเลยมิได้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่ต่อมาให้การว่า หากฟังว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริงก็เป็นการกระทำโดยสุจริตและขอฟ้องแย้งให้โจทก์ขายที่ดินส่วนที่รุกล้ำแก่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยนอกจากจะมีเงื่อนไขและไม่เกี่ยวกับกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย แล้ว คำขอท้ายฟ้องแย้งยังคงเป็นคำขอที่ไม่อาจบังคับได้ เพราะขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1312 ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้งจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม หากกล่าวอ้างเรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกัน ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้เงินที่กู้ยืม จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินที่จำเลยชำระเกินจากการชำระหนี้ เงินกู้ครั้งก่อนไม่ใช่ครั้งนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม หากเป็นเรื่องชำระหนี้ครั้งก่อน ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 6 และ 21 พฤศจิกายน 2541 จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์80,000 บาท และ 104,000 บาท ตามลำดับ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเคยกู้เงินจากโจทก์ไปสองครั้งครั้งแรกประมาณก่อนเดือนกรกฎาคม 2540 จำนวน 50,000 บาท ซึ่งจำเลยสำคัญผิดชำระคืนเกินไปกว่าที่กู้ 25,000 บาท อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2540 จำนวน 80,000 บาทซึ่งจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง และทวงถามถึงเงินกู้ทั้งสองจำนวนดังกล่าวจำเลยสำคัญผิดว่ายังชำระให้ไม่ครบจึงชำระเงินไปอีกหลายครั้งรวมเป็นเงิน 24,000 บาท ขอให้บังคับโจทก์คืนเงินจำเลยชำระเกินไป 25,000 บาท และ 24,000 บาท แก่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับเงินทั้งสองจำนวนเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เกี่ยวกับการชำระหนี้เงินกู้ครั้งอื่นไม่เกี่ยวกับสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องจึงถือว่าเป็นฟ้องแย้งในเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม