คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลไม่รับฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7220/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิใช้ที่ดินติดต่อเพื่อซ่อมแซมอาคาร แม้แก้ไขผิดวิธี ศาลไม่รับฎีกาข้ออ้างผิดกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
ป.พ.พ. มาตรา 1351 ให้สิทธิเจ้าของที่ดินใช้ที่ดินติดต่อเพียงที่จำเป็นในการปลูกสร้างหรือซ่อมแซมโรงเรือนตรงหรือใกล้แนวเขตของตนเท่านั้น
เมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้จำเลยผู้ครอบครองที่ดินที่ติดต่อทราบเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว โจทก์ย่อมใช้ที่ดินติดต่อที่จำเลยครอบครองอยู่ในการตั้งนั่งร้านเพียงเพื่อจำเป็นเพื่อให้ช่างปืนขึ้นไปซ่อมแซมรอยร้าวของผนังตึกอาคารของโจทก์มีรอยร้าวแตกรั่วซึมได้ แม้การแก้ไขนั้น โจทก์ต้องทุบผนังอาคารดังกล่าวและทำการก่อผนังอาคารใหม่ และแม้การที่โจทก์ขอเข้ามาตั้งนั่งร้านเพื่อจะฉาบผนังที่มีรอยร้าวจะเป็นการแก้ไขไม่ถูกวิธีก็ตาม เพราะการจะซ่อมวิธีใดเป็นดุลพินิจของโจทก์
ที่จำเลยฎีกาว่า การก่อสร้างอาคารของโจทก์เป็นการก่อสร้างอาคารผิดแบบแปลนที่ยื่นขออนุญาตไว้ต่อทางราชการ การที่โจทก์มาฟ้องขอเข้าดำเนินการซ่อมแซมอาคารที่ผิดกฎหมายจึงเป็นการดำเนินการที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติต่อกฎหมายนั้นข้ออ้างดังกล่าวจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5865/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ระงับตามยอม ศาลไม่รับฎีกา คดีเช็คพิพาทที่มูลหนี้เดียวกันกับคดีแพ่งที่ประนีประนอมยอมความแล้ว
มูลหนี้ตามเช็คพิพาทในคดีนี้เป็นมูลหนี้เดียวกันกับสัญญากู้ยืมเงินซึ่งโจทก์นำไปฟ้องต่อศาลแพ่งให้จำเลยชำระเงิน แก่โจทก์ คดีดังกล่าวโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลแพ่งได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด การที่ศาลชั้นต้น เห็นว่าหนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คพิพาทตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้น เป็นอันระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาก การใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำหน่ายคดีออกเสียจาก สารบบความผลก็เท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5863/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับคดีอาญาเนื่องจากมีการประนีประนอมยอมความในคดีแพ่ง ทำให้มูลหนี้สิ้นผลผูกพัน และศาลไม่รับฎีกา
คดีแดงที่ 5863-5864/2541
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาทได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่ง และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว มูลหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นอันสิ้นผลผูกพัน คดีจึงเลิกกัน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ร่วมไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6239/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีไม่ใช่คดีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และฎีกาขัดกับข้อจำกัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่พิพาทส่วนที่โจทก์ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นมีจำนวนไม่เกินห้าหมื่นบาท ตามฟ้องไม่ได้บ่งถึงการที่จะบังคับเอาแก่ที่พิพาท จึงไม่ใช่เป็นคดีที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ย่อมต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนและเรียกค่าเสียหายที่ไม่ได้กรีดยางพาราส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกราคาที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ปลูกต้นยางพาราทำให้ที่พิพาทมีราคาเพิ่มขึ้นคดีทั้งสองจึงมีประเด็นต่างกัน ทั้งในคดีก่อนศาลก็ไม่ได้วินิจฉัยว่าโจทก์และสามีโจทก์เป็นผู้ปลูกต้นยางพาราในที่พิพาท คดีนี้ศาลจึงฟังข้อเท็จจริงตามคดีก่อนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, ที่สาธารณสมบัติ, การต่อสู้คดีด้วยข้อเท็จจริง, ข้อจำกัดการฎีกา, การห้ามฎีกา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่เป็นการกล่าวแก้ ข้อพิพาทด้วย กรรมสิทธิ์ แม้จำเลยร่วมยื่นคำร้องสอดอ้างว่าที่พิพาทเป็นของตน กับ ก. สามีก็ตามแต่ จำเลยร่วมขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(2)ซึ่ง ตาม มาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดใช้ สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่ง ตน เข้าร่วม และห้ามมิให้ใช้ สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมดังนั้น จำเลยร่วมจึงต่อสู้ คดีด้วย ข้อต่อสู้ของจำเลย คือต่อสู้ ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงมิได้กล่าวแก้ เป็น ข้อพิพาทด้วย กรรมสิทธิ์ แม้ข้อเท็จจริงตาม สำนวนจะไม่ปรากฏว่า ที่ พิพาทอาจให้เช่า ในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือน ละ 5,000 บาทหรือไม่ แต่ที่ พิพาทมิได้ตั้ง อยู่ในทำเลการค้าและจำเลยใช้ ที่ พิพาทปลูกบ้านมีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ที่พิพาทจึงอาจให้เช่า ในขณะยื่นคำฟ้องได้ ไม่เกินเดือน ละ 5,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคดีจึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2882/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง: คดีค่าเลี้ยงดูที่อ้างเหตุต่างกัน ศาลไม่รับฎีกา
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูตามหนังสือสัญญาเช่นเดียวกับคดีนี้ แต่ขณะฟ้องโจทก์ยังพักอยู่ในบ้านพิพาท ศาลวินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์ยังพักอยู่ในบ้านพิพาท โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาพิพากษายกฟ้อง ส่วนขณะฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่าไม่ได้พักอยู่ในบ้านพิพาทแล้วจึงเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างเหตุขึ้นใหม่ แม้โจทก์จำเลยจะเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีเดิมฟ้องโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ขอให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูเป็นเงิน 13,075 บาทกับให้จำเลยชำระต่อไปเป็นรายเดือนจนตลอดชีวิตของโจทก์เป็นคดีที่จำนวนทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท และเป็นการฟ้องตามสัญญาที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกัน ไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงนี้ยุติไปแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1788/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสั่งคืนของกลางในคดีอาญาที่ไม่มีคดีแพ่งพ่วง: ศาลไม่รับฎีกาเฉพาะเรื่องของกลาง
อัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทางอาญา คือฐานลักทรัพย์ ไม่มีคำขอทางแพ่ง ปนมาด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแต่ให้คืนของกลางแก่ผู้เสียหายโดยอาศัยอำนาจตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 49 แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเรื่องของกลาง จำเลยยังเถียงกรรมสิทธิอยู่ ควรให้ไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง ส่วนในข้อหาฐานลักทรัพย์คงยกฟ้อง ดังนี้คดีอาญาที่ได้ฟ้อง ได้ถึงที่สุดแล้วโจทก์จำเลยจะฎีกาเฉพาะให้สั่งในเรื่องของกลาง ไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2485 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมฎีกา: จำเลยแพ้คดีต้องวางค่าธรรมเนียมแทนโจทก์ก่อนยื่นฎีกา มิฉะนั้นศาลจะไม่รับฎีกา
ผู้ชะนะคดีในศาลชั้นต้น แต่แพ้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ถ้ายื่นฏีกาก็ต้องวางค่าธรรมเนียมที่จะต้องเสียแทนอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 115/2471

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลไม่รับฎีกา คดีเปลี่ยนข้อหาจากรับของโจรเป็นลักทรัพย์
ศาลเดิมวางรับของโจรศาลอุทธรณ์วางลักทรัพย์จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้