คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สถานภาพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7219-7229/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงอำนาจพิเศษในคดีบังคับคดีขับไล่: กำหนดเวลา 8 วันเป็นเพียงระยะเวลาสันนิษฐานสถานภาพ ไม่ตัดสิทธิการยื่นคำร้อง
การยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษเพื่อมิให้ต้องถูกบังคับในคดีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกพิพากษาให้ขับไล่นั้น ป.วิ.พ. มาตรา 296 จัตวา (3) บัญญัติว่า "...ให้ผู้ที่อ้างว่ามิใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศ ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา" บทกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับเด็ดขาดว่า ผู้ที่อ้างว่ามิใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายใน 8 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศ คงมีผลเพียงว่า ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ระยะเวลา 8 วัน ดังกล่าวจึงเป็นกำหนดเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานถึงสถานภาพของบุคคลว่าใช่หรือไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ไม่ใช่กำหนดเวลาสิ้นสุดแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณาอันจะเป็นการตัดสิทธิของผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลแต่อย่างใด ดังนั้น ไม่ว่าผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 7 จะยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศหรือไม่ก็ตาม ก็หามีผลกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 7 ที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะไต่สวนและวินิจฉัยปัญหาตามคำร้องของผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 7 ให้สิ้นกระแสความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2621/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์: การตัดสิทธิสมาชิกกรณีครอบครัวไม่ได้อยู่ด้วยกันและการแจ้งเปลี่ยนแปลงสถานภาพ
ระเบียบข้อ 4 ของสมาคมจำเลยมีข้อกำหนดที่เป็นสาระสำคัญประกอบกันสองประการ คือ ต้องเป็นกรณีที่ครอบครัวสมาชิกมีการหย่าร้างกันและจะต้องไม่ได้อยู่ด้วยกัน โดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น หากเข้าเงื่อนไขทั้งสองประการนี้สมาชิกจึงมีหน้าที่ต้องไปแจ้งให้คณะกรรมการของจำเลยทราบ หากไม่แจ้งและมิได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ จึงจะถือว่าขาดสิทธิจากการเป็นสมาชิก
โจทก์กับ ผ. สามีของโจทก์ไม่ได้จดทะเบียนหย่า เพียงแต่ ผ. เจ็บป่วยจึงได้ย้ายไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาของ ผ. อีกแห่งหนึ่ง กรณีไม่อาจถือได้ว่าโจทก์กับ ผ. เป็นครอบครัวสมาชิกที่หย่าร้างกันและไม่ได้อยู่ด้วยกัน อันจะเข้าเงื่อนไขตามระเบียบของจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะตัดชื่อ ผ. ออกจากการเป็นสมาชิกของจำเลยและให้โจทก์ต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกของจำเลยใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2867/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่น: คำกล่าวอ้างถึงการใช้งานผู้อื่น มิใช่การเหยียดหยามโดยตรง
คำว่า "ดูหมิ่น" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า หมายถึง ดูถูกเหยียดหยาม ทำให้อับอาย เป็นที่เกลียดชังของประชาชน โดยถ้อยคำดังกล่าวจะต้องเป็นการเหยียดหยามผู้อื่น หาใช่ตัวผู้กล่าวเองไม่ คำกล่าวของจำเลยในที่ประชุมกรรมการโรงเรียนซึ่งผู้เสียหายเป็นประธานการประชุมที่ว่า "ประธานใช้ครูอย่างขี้ข้า" นั้น จำเลยมิได้เหยียดหยามตัวผู้เสียหายว่ามีสถานภาพอย่างขี้ข้าหรือผู้รับใช้ แต่เป็นการพูดถึงสถานภาพของครูในโรงเรียน รวมทั้งจำเลยว่าเป็นผู้รับใช้ของผู้เสียหาย เป็นการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตนเองและครูในโรงเรียนว่าถูกผู้เสียหายใช้งานเยี่ยงคนรับใช้ แม้จำเลยใช้คำว่า "ขี้ข้า" ซึ่งเป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพมากล่าวในที่ประชุม แต่เมื่อคำว่า "ขี้ข้า" ในที่นี้จำเลยหมายถึง ตัวจำเลยเองและครูในโรงเรียนที่ถูกผู้เสียหายใช้งาน มิใช่หมายถึงตัวผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ใช้งาน ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวจึงมิใช่เป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายซึ่งหน้าตามความหมายใน ป.อ. มาตรา 393

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6703/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งพักงานทางวินัยและการโต้แย้งสิทธิ: การตั้งกรรมการสอบสวนไม่กระทบคำสั่งพักงานหากยังไม่มีผลกระทบต่อสถานภาพ
คำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของจำเลยที่ 1จะชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 หรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่จำเลยที่ 1 ยังมิได้ใช้อำนาจในฐานะนายจ้างมีคำสั่งอันเนื่องมาจากการสอบสวนตามคำสั่งดังกล่าวให้มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ หาถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิจากจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
โจทก์ถูกกล่าวหาว่าทุจริตเบิกค่าเช่าบ้านซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาคจึงมีอำนาจสั่งให้พักงานโจทก์ไว้ก่อนได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 1 จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ไม่มีผลกระทบต่อคำสั่งให้พักงานคำสั่งที่ให้พักงานโจทก์เพื่อรอฟังผลการสอบสวนทางวินัยจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไล่ออกข้าราชการ – การโต้แย้งสิทธิ – ผลกระทบต่อสถานภาพ – เหตุผลไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนคำสั่งและมีคำสั่งใหม่ให้โจทก์เข้ารับราชการเหมือนเดิม และให้มีคำสั่งให้โจทก์ได้รับเงินเดือนย้อนหลังหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยโดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร ยิงปืนในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร เมาสุราทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย และถูกพักราชการระหว่างรอฟังผลคดีอาญา ต่อมาศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ กองบัญชาการตำรวจภูธร 1 มีคำสั่งให้โจทก์กลับเข้ารับราชการและลงโทษกักขังโจทก์มีกำหนด 60 วัน ซึ่งตามคำสั่งดังกล่าวระบุว่าเป็นการลงโทษข้อหาเสพสุราจนมีอาการมึนเมาและเสียกริยาในที่สาธารณะ ต่อมาจำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากราชการ ซึ่งตามคำสั่งดังกล่าวระบุว่าเป็นการลงโทษข้อหาละทิ้งหน้าที่เสพสุรามึนเมาอาละวาดทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น และยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันสมควรคำสั่งของจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ยุติธรรม และขัดต่อคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่าคำสั่งของจำเลยดังกล่าวได้อ้างข้อหาเมาสุราซึ่งโจทก์ถูกลงโทษกักขัง 60 วันไปแล้ว และมีข้อหายิงปืนโดยไม่มีเหตุอันสมควรซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องถึงที่สุดไปแล้ว กับมีข้อหาละทิ้งหน้าที่เพิ่มขึ้นอีก จึงอาจเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่โจทก์อ้าง และคำสั่งไล่ออกก็เป็นคำสั่งที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ คำฟ้องของโจทก์ถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของโจทก์เสียก่อนจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3724/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรสเดิมของจำเลย อำนาจจำหน่าย และการแจ้งความเท็จเกี่ยวกับสถานภาพ
ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวโดยเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 หาใช่สินสมรสไม่เมื่อใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่แล้วย่อมเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีอำนาจจำหน่ายได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และมิใช่ทรัพย์สินที่โจทก์จะมีส่วนแบ่งเมื่อหย่ากัน ฉะนั้นแม้ในการที่จำเลยที่ 1ทำสัญญาขายที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าวจำเลยที่ 1 แจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า จำเลยที่ 1 เป็นหม้ายโดยการตายของสามี ยังไม่ได้ทำการสมรสใหม่ และจำเลยที่ 2 รับรองการเป็นหม้ายของจำเลยที่ 1 ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกไว้ก็ตาม หากข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จโจทก์ก็มิใช่ผู้เสียหายอันจะฟ้องจำเลยฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องหญิงหม้าย - การไม่ยกข้อต่อสู้เรื่องสถานภาพ
โจทก์ฟ้องคดีโดยว่าเป็นหญิงหม้าย จำเลยมิได้ให้การหรือดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 เลยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยเป็นหญิงมีสามี ฉะนั้นคดีจึงไม่มีประเด็นในข้อนี้ แม้จะมีพยานเบิกความถึง ก็เป็นเรื่องนอกประเด็นไม่เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะพึงรับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8260-8262/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินรางวัลจากการทำงานไม่ใช่ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน สิทธิขึ้นอยู่กับสถานภาพการเป็นลูกจ้าง
เงินรางวัลจากการขายรถยนต์ จำเลยตกลงจ่ายให้โจทก์ทั้งสามต่อเมื่อลูกค้าผ่อนค่างวดครบสี่งวดแรกตรงตามกำหนด หากชำระไม่ตรงตามกำหนด โจทก์ทั้งสามต้องติดตามให้ลูกค้าชำระให้ครบภายในงวดที่ 5 มิฉะนั้นจำเลยจะหักเงินรางวัลจากเงินรางวัลรวมที่ทำได้ในงวดที่ 4 แต่หากโจทก์ทั้งสามติดตามให้ลูกค้าชำระครบในงวดที่ 5 จำเลยจะคืนให้พร้อมเงินรางวัลที่หักไว้ ส่วนเงินรางวัลสำหรับการขายประกันคุ้มครองภาระหนี้จะจ่ายให้เมื่อลูกค้าชำระตรงตามกำหนดสี่งวดแรกต่อการขายแต่ละครั้ง เช่นนี้เห็นได้ว่าการจ่ายเงินรางวัลดังกล่าวมุ่งหมายเพื่อเป็นการจูงใจให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการหาลูกค้าและตรวจสอบความสามารถในการผ่อนชำระเงินค่างวดของลูกค้าเพื่อป้องกันความเสียหายในด้านสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจของจำเลยอีกทั้งเป็นการกระตุ้นให้พนักงานกระตือรือร้นหาลูกค้าและติดตามเร่งรัดการจ่ายเงินค่าเช่าซื้อให้ตรงตามกำหนด ดังนั้น พนักงานจะมีโอกาสได้รับเงินดังกล่าวมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับความขยันและประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละคน จึงไม่ใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงานโดยตรงตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานอันจะถือเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5
เมื่อการจ่ายเงินรางวัลดังกล่าวกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติงานจนครบก่อนจึงจะมีสิทธิได้รับ ทั้งจำเลยจะจ่ายเงินรางวัลให้กับพนักงานที่ยังคงมีสถานภาพเป็นพนักงานในวันที่จ่ายเท่านั้น เมื่อโจทก์ทั้งสามลาออกจากการเป็นลูกจ้างเป็นการพ้นสถานภาพการเป็นพนักงานไปก่อนในวันที่จ่าย โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3552/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมที่ทำขึ้นโดยคนไร้ความสามารถเป็นโมฆะ แม้ต่อมาศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงสถานภาพ
จ. เจ้ามรดกถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2532 ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้เจ้ามรดกเป็นคนไร้ความสามารถแต่ศาลฎีกาพิพากษากลับเป็นให้ยกคำร้อง ซึ่งเป็นผลให้ จ. ยังคงเป็นคนไร้ความสามารถอยู่ตามเดิม แม้ในระหว่างที่คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ จ. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ คำสั่งที่ให้ จ. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถดังกล่าวก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงยกเลิก เพิกถอนหรือลบล้างคำสั่งศาลชั้นต้นศาลเดียวกันที่ได้สั่งให้ จ. เป็นคนไร้ความสามารถมาก่อน ทั้งไม่มีผลทำให้สถานภาพการเป็นคนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาลต้องขาดช่วงไปหรือสะดุดหยุดชั่วคราวในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุด การที่ จ. โดยความยินยอมของผู้พิทักษ์ได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ จ. ตกเป็นคนไร้ความสามารถพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1704