พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ การใช้ถ้อยคำเปรียบเทียบสถาบันฯ เป็นความผิด แม้ไม่มีเจตนา
บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 2,6,45,46 และ 54 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107 ถึง 112 แสดงให้เห็นได้โดยแจ้งชัดว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงอยู่ในฐานะพระประมุขของประเทศ ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดหรือใช้สิทธิและเสรีภาพให้เป็นปฏิปักษ์ในทางหนึ่งทางใดมิได้ ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่คู่ประเทศตลอดไป
พระบรมมหาราชวังเป็นของพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงสร้างขึ้นไว้เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์และพระบรมราชินี เป็นที่ประสูติพระราชโอรสและพระธิดาดังนั้น ข้อความที่จำเลยกล่าวปราศรัยต่อประชาชนว่า ถ้าจำเลยเลือกเกิดได้จะเลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระนั้น แม้จำเลยมิได้ระบุชื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยชัดแจ้ง ก็ย่อมแปลเจตนาของจำเลยได้ว่า จำเลยกล่าวโดยมุ่งหมายถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาท
ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นการใส่ความในประการที่น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงฐานะที่ทรงดำรงอยู่และความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ประกอบข้อความที่จำเลยกล่าวด้วย การที่จำเลยกล่าวว่า ถ้าเลือกเกิดได้จะเลือกเกิดใจกลางพระบรมมหาราชวังออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระไม่ต้องมายืนตากแดดพูดให้ประชาชนฟัง ถึงเวลาเที่ยงก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทมตื่นอีกทีบ่ายสามโมง พอตกเย็นก็เสวยน้ำจันฑ์ให้สบายอกสบายใจนั้น เป็นการกล่าวเปรียบเทียบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาททรงมีความเป็นอยู่สุขสบาย ไม่ต้องปฏิบัติพระราชภารกิจ ใด ๆ เวลาเที่ยงเสวยเสร็จก็บรรทมไปจนถึงเวลาบ่ายสามโมงตกตอนเย็นก็เสวยน้ำจันฑ์อย่างสบายอกสบายใจ ต่างกับจำเลยซึ่งเกิดเป็นลูกชาวนาต้องทำงานหนัก มีแต่ความยากลำบากเพราะเลือกเกิดไม่ได้ คำกล่าวของจำเลยนี้ พยานโจทก์ทุกปากประกอบด้วยบุคคลจากหลายท้องถิ่นและหลายสาขาอาชีพ ทั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร นักการเมือง ครูอาจารย์ ทนายความ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวนา ล้วนเบิกความให้ความเห็นสรุปได้ว่า จำเลยกล่าวหาใส่ความว่าทั้งสามพระองค์ทรงมีความเป็นอยู่สุขสบาย ไม่ต้องปฏิบัติภารกิจใด ๆ เอาแต่พักผ่อนและดื่มสุรา อันแสดงว่าประชาชนโดยทั่วไปต่างเห็นว่าจำเลยเจตนาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯองค์รัชทายาท ความเห็นของพยานโจทก์นี้เป็นความเห็นประกอบกับข้อความที่อ้างว่าเป็นหมิ่นประมาทย่อมรับฟังได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบข้อความที่จำเลยกล่าวทั้งหมดแล้ว ถือได้ว่าเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯสยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาท ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แม้การกระทำของจำเลยจะไม่บังเกิดผล เพราะไม่มีใครเชื่อถือคำกล่าวของจำเลย จำเลยก็หาพ้นความรับผิดไม่ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินีและรัชทายาท ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112
จำเลยเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วหลายสมัย และเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง ได้ประกอบคุณงามความดีต่อประเทศชาติจนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการจัดหาทุนสร้างสวนหลวง ร.9 และหาทุนโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย นับว่าเป็นผู้มีคุณความดีมาแต่ก่อน นอกจากนี้หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยยังได้ไปกล่าวคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ห้องรับรองของรัฐสภา และได้มีหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษผ่านทางราชเลขาธิการ เป็นการรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ มีเหตุสมควรปรานีลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78.(ที่มา-ส่งเสริม)
พระบรมมหาราชวังเป็นของพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงสร้างขึ้นไว้เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์และพระบรมราชินี เป็นที่ประสูติพระราชโอรสและพระธิดาดังนั้น ข้อความที่จำเลยกล่าวปราศรัยต่อประชาชนว่า ถ้าจำเลยเลือกเกิดได้จะเลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระนั้น แม้จำเลยมิได้ระบุชื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยชัดแจ้ง ก็ย่อมแปลเจตนาของจำเลยได้ว่า จำเลยกล่าวโดยมุ่งหมายถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาท
ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นการใส่ความในประการที่น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงฐานะที่ทรงดำรงอยู่และความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ประกอบข้อความที่จำเลยกล่าวด้วย การที่จำเลยกล่าวว่า ถ้าเลือกเกิดได้จะเลือกเกิดใจกลางพระบรมมหาราชวังออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระไม่ต้องมายืนตากแดดพูดให้ประชาชนฟัง ถึงเวลาเที่ยงก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทมตื่นอีกทีบ่ายสามโมง พอตกเย็นก็เสวยน้ำจันฑ์ให้สบายอกสบายใจนั้น เป็นการกล่าวเปรียบเทียบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาททรงมีความเป็นอยู่สุขสบาย ไม่ต้องปฏิบัติพระราชภารกิจ ใด ๆ เวลาเที่ยงเสวยเสร็จก็บรรทมไปจนถึงเวลาบ่ายสามโมงตกตอนเย็นก็เสวยน้ำจันฑ์อย่างสบายอกสบายใจ ต่างกับจำเลยซึ่งเกิดเป็นลูกชาวนาต้องทำงานหนัก มีแต่ความยากลำบากเพราะเลือกเกิดไม่ได้ คำกล่าวของจำเลยนี้ พยานโจทก์ทุกปากประกอบด้วยบุคคลจากหลายท้องถิ่นและหลายสาขาอาชีพ ทั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร นักการเมือง ครูอาจารย์ ทนายความ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวนา ล้วนเบิกความให้ความเห็นสรุปได้ว่า จำเลยกล่าวหาใส่ความว่าทั้งสามพระองค์ทรงมีความเป็นอยู่สุขสบาย ไม่ต้องปฏิบัติภารกิจใด ๆ เอาแต่พักผ่อนและดื่มสุรา อันแสดงว่าประชาชนโดยทั่วไปต่างเห็นว่าจำเลยเจตนาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯองค์รัชทายาท ความเห็นของพยานโจทก์นี้เป็นความเห็นประกอบกับข้อความที่อ้างว่าเป็นหมิ่นประมาทย่อมรับฟังได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบข้อความที่จำเลยกล่าวทั้งหมดแล้ว ถือได้ว่าเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯสยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาท ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แม้การกระทำของจำเลยจะไม่บังเกิดผล เพราะไม่มีใครเชื่อถือคำกล่าวของจำเลย จำเลยก็หาพ้นความรับผิดไม่ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินีและรัชทายาท ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112
จำเลยเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วหลายสมัย และเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง ได้ประกอบคุณงามความดีต่อประเทศชาติจนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการจัดหาทุนสร้างสวนหลวง ร.9 และหาทุนโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย นับว่าเป็นผู้มีคุณความดีมาแต่ก่อน นอกจากนี้หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยยังได้ไปกล่าวคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ห้องรับรองของรัฐสภา และได้มีหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษผ่านทางราชเลขาธิการ เป็นการรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ มีเหตุสมควรปรานีลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อกำหนดพินัยกรรมมอบเงินให้สถาบันการกุศล ไม่เป็นโมฆะ แม้มิได้ระบุเจาะจง
ข้อกำหนดในพินัยกรรมกำหนดให้ผู้จัดการมรดกรวบรวมทรัพย์สินจำหน่ายเป็นเงินสด และให้ใช้จ่ายเป็นค่าทำศพเจ้ามรดกก่อน หากยังมีเงินเหลืออีกเท่าใด ให้ผู้จัดการมรดกจัดสรรทำบุญ หรือมอบให้สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลใด ตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร การมอบเงินให้สถาบันหรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลนั้น ถือได้ว่าเป็นการทำบุญ ซึ่งเจ้ามรดกได้ระบุข้อความดังกล่าวให้อยู่ในวงจำกัดแน่นอนว่า จะต้องมอบให้เฉพาะเพื่อสาธารณกุศาลเท่านั้น จะมอบให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งทั่ว ๆ ไป หรือมิใช่เพื่อการกุศลตามแต่ใจของผู้จัดการมรดกไม่ได้ ไม่จำเป็นจะต้องระบุเจาะจงลงไปว่าเป็นสถาบันหรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลใดโดนเฉพาะ ฉะนั้นข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการกำหนดบุคคลซึ่งอาจทราบตัวแน่นอนได้ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 (2)
ข้อกำหนดในพินัยกรรมได้ระบุว่า ให้ผู้จัดการมรดกนำเงินสดที่เหลือจากการทำศพ มอบให้แก่สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศล เพื่อการกุศลตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร ไม่ใช่ให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 (3)
ข้อกำหนดในพินัยกรรมได้ระบุว่า ให้ผู้จัดการมรดกนำเงินสดที่เหลือจากการทำศพ มอบให้แก่สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศล เพื่อการกุศลตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร ไม่ใช่ให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 (3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อกำหนดพินัยกรรมมอบเงินให้การกุศล ไม่เป็นโมฆะ แม้มิได้ระบุสถาบันชัดเจน
ข้อกำหนดในพินัยกรรมกำหนดให้ผู้จัดการมรดกรวบรวมทรัพย์สินจำหน่ายเป็นเงินสด และให้ใช้จ่ายเป็นค่าทำศพเจ้ามรดกก่อน หากยังมีเงินเหลืออีกเท่าใด ให้ผู้จัดการมรดกจัดสรรทำบุญ หรือมอบให้สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลใดตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควรการมอบเงินให้สถาบันหรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลนั้น ถือได้ว่าเป็นการทำบุญซึ่งเจ้ามรดกได้ระบุข้อความดังกล่าวให้อยู่ในวงจำกัดแน่นอนว่าจะต้องมอบให้เฉพาะเพื่อสาธารณกุศลเท่านั้น จะมอบให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งทั่วๆ ไป หรือมิใช่เพื่อการกุศลตามแต่ใจของผู้จัดการมรดกไม่ได้ไม่จำเป็นจะต้องระบุเจาะจงลงไปว่าเป็นสถาบัน สถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกำหนดบุคคลซึ่งอาจทราบตัวแน่นอนได้ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(2)
ข้อกำหนดในพินัยกรรมได้ระบุว่า ให้ผู้จัดการมรดกนำเงินสดที่เหลือจากการทำศพ มอบให้แก่สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการเพื่อการกุศลตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร ไม่ใช่ให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(3)
ข้อกำหนดในพินัยกรรมได้ระบุว่า ให้ผู้จัดการมรดกนำเงินสดที่เหลือจากการทำศพ มอบให้แก่สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการเพื่อการกุศลตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร ไม่ใช่ให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(3)