คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สภาพรถยนต์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษาต้องถูกต้องตามสภาพรถยนต์ที่ส่งมอบ โจทก์มีสิทธิปฏิเสธหากสภาพไม่ใช้การได้
การพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้อง จะต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับมิใช่แต่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันส่งมอบ รถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของ คำพิพากษาจะมิได้ระบุว่ารถยนต์ที่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ส่งมอบแก่โจทก์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตาม แต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจได้ว่ารถยนต์จะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้ในตอนต้น หากรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้ตาม คำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษาต้องถูกต้องตามสภาพรถยนต์ที่ใช้การได้ โจทก์มีสิทธิปฏิเสธรับมอบหากสภาพไม่ดี
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยไว้ว่าจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2ผู้ค้ำประกันส่งมอบรถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์ หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทน แม้ในตอนท้ายของคำพิพากษามิได้ระบุว่ารถยนต์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตามแต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจว่าจะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วในตอนต้นเพราะการพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ที่ถูกต้อง จะต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับ ดังนั้น เมื่อรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติชำระหนี้ตามคำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธการรับมอบรถยนต์ที่ชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามคำพิพากษา ศาลมีสิทธิปฏิเสธและบังคับตามคำพิพากษาเดิมได้
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยชัดเจนให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันส่งมอบรถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์ หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของคำพิพากษาจะมิได้ระบุว่าจำเลยทั้งสองจะต้องส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ในสภาพเช่นไรแต่ก็พึงเข้าใจได้ว่าจะต้องส่งมอบในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วในตอนต้น เพราะการพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องนั้นต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับ มิใช่เฉพาะแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์มาส่งมอบแก่โจทก์หลังจากมีคำบังคับแล้วถึง 1 ปีเศษ ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่มีทะเบียนทำให้ไม่ทราบว่าเป็นรถยนต์คันเดียวกับที่ศาลมีคำพิพากษาหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์อย่างไม่ดูแลรักษา เพราะแม้กระทั่งทะเบียนรถก็ไม่มี ฉะนั้น การที่โจทก์ไม่ยอมรับรถยนต์โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติการชำระหนี้ไม่ถูกต้องตรงตามคำพิพากษาเพราะไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีจึงมีเหตุผลและเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำหรือไม่: ความเสียหายหลังคำพิพากษาเดิมจากสภาพรถยนต์ที่ชำรุด
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนและใช้ค่าเสียหาย แต่คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องโดยอ้างเหตุจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเช่นเดียวกับคดีก่อน แต่ตามคำฟ้องได้บรรยายว่า ภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว จำเลยไม่คืนรถยนต์แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ตามยึด รถยนต์คืนมาได้ในสภาพชำรุดทรุดโทรมผิดปกติจากการใช้อย่างไม่ระมัดระวัง โจทก์นำรถยนต์ออกประมูลได้ เงินต่ำกว่าราคารถยนต์ที่ศาลในคดีก่อนพิพากษากำหนดให้อยู่ 192,000 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ ความเสียหายของโจทก์ตามคำฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำพิพากษาคดีก่อนแล้ว คำขอให้บังคับตามคำฟ้องคดีนี้กับคำขอให้บังคับตามคำฟ้องคดีก่อนต่างกันและมิใช่ประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยแล้ว โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5590/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน: สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากสภาพรถยนต์และค่าขาดประโยชน์
สัญญาเช่าซื้อกำหนดไว้ว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของ โดยพลันในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว และอีกข้อหนึ่งว่า ถ้าเจ้าของได้ขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อ ที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญากับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น หรือถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อเมื่อเจ้าของได้ประเมินราคาแล้ว มีราคาไม่คุ้มค่าเช่าซื้อที่คงเหลืออยู่กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้เงินให้เจ้าของจนครบถ้วน โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนราคารถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน แม้ราคาขายจะเป็นเพียงความคาดหมายของโจทก์โดยยังมิได้มีการขายจริง แต่โจทก์ก็อาจนำสืบให้เห็นได้ว่ารถยนต์อยู่ในสภาพที่ในท้องตลาดมีการซื้อขายกันในราคาเท่าใดโดยที่ยังมิได้มีการขายจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้มีการกำหนดกันไว้ในสัญญาเช่าซื้อ ในส่วนของค่าขาดประโยชน์ศาลกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ โดยพิเคราะห์ถึงยี่ห้อของรถยนต์ และ ราคาเช่าซื้อที่จะชำระแต่ละเดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164/2565

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาและการชดใช้ค่าเสียหายจากสภาพรถยนต์ชำรุด
ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดแล้วย่อมมีผลผูกพันจำเลยทั้งสี่ซึ่งมีสถานะเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำบังคับ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีต่อไปได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 และมาตรา 274 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 และหากการละเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ของจำเลยทั้งสี่ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ยังชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสี่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 215
เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสี่มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา จนโจทก์ติดตามรถยนต์คืนจากจำเลยที่ 1 ได้ในสภาพชำรุดบกพร่อง ทำให้ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำกว่าราคารถยนต์ที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาคดีก่อน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เป็นราคารถยนต์ที่ขาดไป จำเลยทั้งสี่ในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นค่าสินไหมทดแทนอันสืบเนื่องมาจากมูลหนี้คดีก่อนที่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ มิใช่ค่าเสียหายที่มีหลักแหล่งแห่งข้อหาตามสัญญาเช่าซื้อหรือข้ออ้างที่อาศัยความผูกพันกันตามสัญญายินยอมร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและหนังสือให้ความยินยอมทำสัญญาเช่าซื้อและร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมซึ่งเลิกกันไปแล้ว และศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในคดีก่อนได้วินิจฉัยจนเสร็จสิ้น กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาความสมบูรณ์หรือความเป็นโมฆะเสียเปล่าของสัญญาดังกล่าวอีก เพราะมิใช่ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 หยิบยกปัญหาว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตกเป็นโมฆะขึ้นวินิจฉัย และเห็นว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ โดยเห็นว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนมิใช่บทบังคับว่า ศาลต้องหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเสียทุกกรณี ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาข้อสำคัญที่ว่า การหยิบยกปัญหาเรื่องความโมฆะของสัญญาฉบับเดียวกันกับในคดีก่อนขึ้นวินิจฉัย จนเป็นผลให้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เกี่ยวกับความสมบูรณ์ของสัญญาเดียวกันแตกต่างกัน อันก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อการบังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในคดีก่อนที่กำหนดให้จำเลยทั้งสี่ต้องปฏิบัติตามในลำดับแรกด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีเป็นอันไร้ผลไปโดยสิ้นเชิง เป็นผลให้ตกเป็นภาระแก่จำเลยที่ 1 เพียงลำพัง ทั้งที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่างเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาที่ละเลยต่อการชำระหนี้ไม่แตกต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 หยิบยกปัญหาว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตกเป็นโมฆะขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในคดีก่อน
เมื่อรถยนต์ที่จำเลยทั้งสี่ต้องส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ มีมูลค่า 400,000 บาท ตามราคาใช้แทนรถยนต์ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดไว้ในคดีก่อน โจทก์ได้รับเงินจากการขายทอดตลาดรถยนต์แล้ว 308,411.21 บาท โจทก์จึงยังคงเสียหายเป็นเงินเพียง 91,588.79 บาท ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าขาดราคาแก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท เกินกว่าความเสียหายของโจทก์จึงเป็นการมิชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7