พบผลลัพธ์ทั้งหมด 139 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6490/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุ: การใช้ไฟฟ้าแรงสูงป้องกันทรัพย์สิน (ปลากัด) เป็นการกระทำที่ไม่สมดุล
แม้ขณะเกิดเหตุผู้ตายจะเข้าไปในบริเวณบ่อปลากัดของจำเลยเพื่อลักปลากัด ซึ่งถ้าจำเลยพบเห็นจำเลยย่อมมีสิทธิทำร้ายผู้ตายพอสมควรแก่เหตุเพื่อป้องกันทรัพย์สินของตนได้ แต่กระแสไฟฟ้าที่จำเลยปล่อยผ่านเส้นลวดที่ล้อมรอบบ่อปลากัดย่อมเป็นอันตรายร้ายแรงโดยสภาพซึ่งสามารถทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ส่วนทรัพย์สินของจำเลยเป็นเพียงปลากัดมีมูลค่าไม่มากนัก การปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าเส้นลวดกับการป้องกันทรัพย์สินของจำเลยย่อมไม่เป็นสัดส่วนกัน เมื่อผู้ตายถูกกระแสไฟฟ้าที่จำเลยปล่อยผ่านเส้นลวดดังกล่าวดูดถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรกว่าเหตุตาม ป.อ. มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3869/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยสำคัญผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน: การกระทำที่สมควรแก่เหตุ
ในช่วงเวลาเกิดเหตุในละแวกบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุม และก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยถูกคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน คืนเกิดเหตุผู้ตายได้ปีนเข้าบ้านจำเลยทางช่องลมโดยปราศจากเหตุสมควร ย่อมทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายและในขณะนั้นจำเลยย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ตายจะมีอาวุธหรือไม่ เพราะในห้องที่เกิดเหตุมืดและเป็นเวลากะทันหัน ถ้าเป็นคนร้ายซึ่งจะมาทำร้ายจำเลยจริงแล้ว การที่จะให้จำเลยรออยู่จนกว่าคนร้ายจะแสดงกิริยาทำร้ายแล้ว จำเลยก็อาจได้รับอันตรายก่อนที่จะทำการป้องกันได้ทันท่วงที และจำเลยก็ยิงผู้ตายไปเพียง 1 นัด เมื่อผู้ตายล้มลงจำเลยก็มิได้ซ้ำแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายเกินสมควรแก่เหตุ กรณีถูกคุกคามด้วยรถยนต์
คดีฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อป้องกัน แม้ในวันเกิดเหตุผู้ตายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุขับรถยนต์ปิกอัพแซงปาดหน้าจะให้รถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ 1 นั่งมาชนกำแพงคอนกรีตกลางถนนหลายครั้ง ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะใช้อาวุธใดทำร้ายจำเลยที่ 1 หรือจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีอื่นอีก การที่ผู้ตายยังขับรถยนต์ปิกอัพตามมาชนท้ายรถยนต์เก๋งในซอยทั้งที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ปิกอัพแล้ว แม้จะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 เชื่อว่าผู้ตายจะตามมาทำร้าย แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูรถยนต์เก๋งลงไปยืนที่พื้นข้างประตูรถด้านที่จำเลยที่ 1 นั่งและใช้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 พาติดตัวมายิงผู้ตายนั้น ผู้ตายก็ยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายช่วงแรก 2 นัด จนกระสุนปืนหมดแล้วกลับเข้าไปในรถยนต์เก๋งเอาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเก็บไว้ในรถวิ่งอ้อมท้ายรถยนต์ปิกอัพไปยืนที่ข้างประตูรถด้านที่ผู้ตายนั่งแล้วใช้อาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ยิงผู้ตายอีกหลายนัด จนผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ด้านขวาของลำตัวถึง 5 นัด การยิงผู้ตายในช่วงหลัง จำเลยที่ 1 ย่อมมีเวลาใคร่ครวญตั้งสติได้แล้ว ทั้งขณะนั้นผู้ตายก็ยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะทำอันตรายใดแก่จำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุในคดีฆ่า: การพิจารณาพฤติการณ์ก่อน, ระหว่าง และหลังการกระทำ
ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขับรถยนต์ปิกอัพแซงปาดหน้าจะให้รถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ 2 ขับมีจำเลยที่ 1 นั่งมาชนกำแพงคอนกรีตกลางถนนหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ใช้อาวุธใดทำร้ายจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีอื่นอีก แม้ผู้ตายยังขับรถตามมาชนท้ายรถยนต์เก๋งในซอยซึ่งเป็นซอยตัน แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูรถยนต์เก๋งลงไปยิงผู้ตายนั้น ผู้ตายยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายช่วงแรก 2 นัดจนกระสุนปืนหมดแล้วกลับไปเอาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2ซึ่งเก็บไว้ในรถยนต์เก๋งวิ่งอ้อมท้ายรถยนต์ปิกอัพไปยิงผู้ตายถูกที่ด้านขวาของลำตัวถึง 5 นัด การยิงในช่วงหลัง จำเลยที่ 1ย่อมมีเวลาใคร่ครวญตั้งสติได้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกทำร้ายก่อน ยิงด้วยอาวุธร้ายแรงจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
จำเลยเจตนายิงผู้เสียหายที่ 1 เนื่องจาก จำเลยถูกผู้เสียหายที่ 1 กับพวก เข้ามา กลุ้ม รุม ทำร้าย จำเลยก่อน จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวเองเพื่อ มิให้ถูกทำร้ายแต่การที่จำเลยใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรง ยิงผู้เสียหายที่ 1 หลายนัด โดยผู้เสียหายที่ 1 มีเพียงก้อนหินและไม่ปรากฏว่าพวกผู้เสียหายที่ 1 มีอาวุธ กระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกผู้เสียหายที่ 1 ที่บั้นเอวด้านซ้าย สะโพกด้าน ซ้ายและด้านขวา จนผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสถ้าผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้กระสุนปืนยังพลาดไปถูกผู้เสียหายที่ 2และที่ 3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายของผู้เสียหาย ที่ 2 และที่ 3 ดังนี้ นับว่าเป็นการกระทำเกินกว่า กรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 ต้องเป็นกรณีชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและมีบุคคลได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งหมายถึงกรณีที่ไม่ทราบว่าผู้ใดหรือผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายจนได้รับอันตรายสาหัส
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5188/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ผู้เสียหายเริ่มก่อเหตุ ศาลไม่ถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการด่า และท้าทายจำเลยให้มาต่อสู้กัน และเข้ามากระชากคอเสื้อจำเลย ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้ แต่จะต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุด้วย
ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลย ตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัว การที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ 1 ฟุต ใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวา ราวนมขวา ราวนมซ้าย และชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม 9 แห่ง ซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลย ตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัว การที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ 1 ฟุต ใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวา ราวนมขวา ราวนมซ้าย และชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม 9 แห่ง ซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5188/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกทำร้ายก่อน ศาลไม่รับรองการกระทำ
ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการด่า และท้าทายจำเลยให้มาต่อสู้กัน และเข้ามากระชากคอเสื้อจำเลยย่อมเป็นเหตุให้จำเลยสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้ แต่จะต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุด้วย ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลย ตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัว การที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ 1 ฟุตใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวา ราวนมขวา ราวนมซ้าย และชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม 9 แห่งซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5188/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกทำร้ายก่อน ศาลไม่ถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการด่าและท้าทายจำเลยให้มาต่อสู้กันและเข้ามากระชากคอเสื้อจำเลยย่อมเป็นเหตุให้จำเลยสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้แต่จะต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุด้วย ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลยตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัวการที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ1ฟุตใบมีดกว้างประมาณ4นิ้วซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวาราวนมขวาราวนมซ้ายและชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม9แห่งซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุจากภยันตรายใกล้จะถึง แม้ผู้ถูกทำร้ายจะยังไม่เสียชีวิต
ผู้ตายเป็นคนขาดศีลธรรมมักมากในกามชอบเอาเปรียบผู้หญิงเห็นผู้หญิงเป็นเครื่องบำเรอความสุขของตนจนภริยาทนต่อการถูกทุบตีไม่ไหวต้องหนีไปอยู่ที่อื่นแสดงให้เห็นว่าผู้ตายเป็นคนชอบทำอะไรตามใจตัวเองจำเลยเป็นหญิงมีอายุมากแล้วคงไม่กล้าเข้าทำร้ายผู้ตายที่หนุ่มแน่นและแข็งแรงกว่าวันเกิดเหตุผู้ตายเห็นจำเลยอยู่บ้านคนเดียวจะบังคับเอาเงินจากจำเลยให้ได้เมื่อเห็นจำเลยจะต่อสู้จึงชักมีดออกมาจะทำร้ายจำเลยจึงถูกจำเลยฟันเอาก่อนแต่ผู้ตายไม่ยอมหยุดลุกขึ้นจะทำร้ายจำเลยอีกพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและใกล้จะถึงจำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันชีวิตของตนเองได้โดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อในภาวะเช่นจำเลยย่อมไม่อาจคาดคิดได้ว่าจะฟันกี่ครั้งจึงจะหยุดยั้งผู้ตายได้ฉะนั้นการที่จำเลยฟันผู้ตายที่ใบหน้าและศีรษะหลายครั้งจึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2934/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกทำร้ายก่อน ศาลพิจารณาจากอาวุธและอันตรายที่เกิดขึ้น
ผู้เสียหายได้จับมือภรรยาจำเลยเพื่อให้ร่วมวงดื่มสุราในบริเวณบ้านผู้เสียหายภรรยาจำเลยปฏิเสธและเดินออกจากบ้านผู้เสียหายมาแล้วจึงเกิดการทะเลาะกับจำเลยด้วยเหตุจำเลยหึงหวงภรรยาและระหว่างที่จำเลยกับภรรยาทะเลาะกันเองอยู่นั้นผู้เสียหายเป็นฝ่ายลุกออกจากบ้านเข้ามาหาจำเลยโดยหลังจากจำเลยเห็นภรรยาถูกผู้เสียหายจับมือในบ้านต้องอดกลั้นความหึงหวงและไม่กล้าที่จะแสดงออกต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้กระทำเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยไม่ประสงค์ที่จะมีเหตุการณ์วิวาทกับผู้เสียหายจึงได้หลีกเลี่ยงชวนภรรยาออกมาจากบ้านผู้เสียหายและเหตุที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายก็เพราะผู้เสียหายได้เข้ามาทำร้ายจำเลยก่อนกรณีจึงมิใช่จำเลยสมัครใจเข้าวิวาทกับผู้เสียหายหากแต่เป็นการป้องกันตัวแต่ผู้เสียหายเข้ามาทำร้ายจำเลยโดยปราศจากอาวุธภยันตรายที่เกิดจึงไม่น่าจะรุนแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อชีวิตการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายบริเวณช่องท้องใต้ราวนมข้างซ้ายซึ่งอวัยวะสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายได้เช่นนี้จึงเป็นการป้องกันที่เกินสมควรแก่เหตุจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,80ประกอบด้วยมาตรา69