พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5190/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจทำสัญญาช่วงเหมือง: ตัวการต้องรับผิดชอบหนี้ที่เกิดจากตัวแทน
แม้จำเลยที่ 1 จะทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ 1ไว้ล่วงหน้านาน 1 ปีเศษ ตราบใดที่ยังไม่ปรากฏว่ามีการเพิกถอนหนังสือมอบอำนาจนั้นก็ยังคงใช้ได้อยู่ จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองกับโจทก์ และจำเลยที่ 1เป็นผู้ผลิตและขนย้ายแร่ที่ผลิตจากเหมืองของโจทก์ไปตามจำนวนน้ำหนักที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการจึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญารับช่วงการทำเหมืองพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองกับโจทก์ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าและการทำสัญญาช่วง: ผู้เช่าช่วงต้องทำสัญญาใหม่กับผู้เช่าเดิมหากต้องการใช้สิทธิ
จำเลยกับพวกประมูลสิทธิขายเนื้อสุกรโดยเสียค่าตอบแทนหรือค่าบำรุงให้เทศบาล 368,000 บาท กับค่าเช่าเป็นรายวันจำเลยเข้าขายเนื้อสุกรที่เขียงตามที่ประมูลได้แต่ยังไม่ได้ทำสัญญาเช่าจากเทศบาลจำเลยกับพวกยังผูกพันจะต้องชำระเงิน 368,000 บาท จึงจะมีสิทธิต่อมามีการตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดยจำเลยกับพวกเป็นผู้ถือหุ้นและมี ต.เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง บริษัทโจทก์ทำสัญญาเช่าเขียงหรือแผงจากเทศบาลโดยเสียเงินบำรุงให้แก่เทศบาล 368,000 บาทตามที่จำเลยกับพวกประมูลไว้จำเลยกับพวกมิได้คัดค้านดังนี้ บริษัทโจทก์เป็นนิติบุคคลซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งต่างหากจากจำเลยและพวก เป็นคู่สัญญากับเทศบาล จำเลยยอมให้บริษัทโจทก์เป็นผู้เช่าแล้ว บริษัทโจทก์จึงมีสิทธิที่จะใช้เขียงจำหน่ายเนื้อสุกรได้อย่างฐานะผู้เช่าทั่วไปเมื่อบริษัทโจทก์ให้จำเลยมาทำสัญญาเช่าจากบริษัทโจทก์ เพื่อจำเลยจะได้ใช้เขียงจำหน่ายต่อไปก็ชอบที่จะต้องทำสัญญาเช่าจากบริษัทโจทก์การที่จำเลยไม่ยอมมาทำสัญญาเช่า บริษัทโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยได้ข้อโต้เถียงของจำเลยเกี่ยวกับ ต. ผู้ถือหุ้นของบริษัทว่าทำการไม่ชอบอันเป็นกิจการภายในของบริษัทโจทก์นั้นเป็นกรณีที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาแก่บริษัทโจทก์เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 441/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาช่วง-มอบอำนาจ: ความรับผิดของคู่สัญญาต่อค่าใช้จ่ายตามสัญญา
โจทก์ทำสัญญาเช่าโรงมหรศพจากเจ้าของเพื่อจัดการแสดงมหาศพและการบันเทิงต่าง ๆ โดยมีข้อห้ามมิให้เช่าช่วง แต่โจทก์มาทำสัญญากับจำเลยยินยอมมอบอำนาจให้จำเลยดำเนินการฉายภาพยนต์หรือจัดรายการบันเทิงอื่นใดโรงมหรศพนี้ โดยจำเลยต้องให้เงินโจทก์เป็นรายเดือน สัญญานี้ใช้บังคับได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย ส่วนข้อที่ว่าเป็นการให้เช่าช่วงหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่เจ้าของจะว่ากล่าวแก่โจทก์ จำเลยจะยกขึ้นปัดความรับผิดของตนไม่ได้
เมื่อสัญญามอบอำนาจนั้นมีข้อตกลงให้จำเลยรับภาระค่าเช่าโทรศัพท์ด้วย ถ้าจำเลยยังไม่ได้ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาแก่จำเลยได้ มิใช่ต้องให้องค์การโทรศัพท์เป็นผู้ฟ้อง เพราะองค์การนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย
ค่าโทรศัพท์นี้ จำเลยมีหน้าที่จ่ายให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยก็ต้องรับผิดในดอกเบี้ยด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ถึงแม้ว่าโจทก์เองจะยังไม่ได้ชำระให้องค์การโทรศัพท์ก็ตาม
เมื่อจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริงตามฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าภาระติดพันต่าง ๆ แก่โจทก์ตามข้อสัญญาครบถ้วนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน
คดีที่มีการสืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองฝ่ายและในฎีกาของจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานกันใหม่ ทั้งพยานหลักฐานที่ได้สืบกันมาก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาคัดค้านการกำหนดหน้าที่นำสืบอีก ย่อมฟังไม่ขึ้น
เมื่อสัญญามอบอำนาจนั้นมีข้อตกลงให้จำเลยรับภาระค่าเช่าโทรศัพท์ด้วย ถ้าจำเลยยังไม่ได้ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาแก่จำเลยได้ มิใช่ต้องให้องค์การโทรศัพท์เป็นผู้ฟ้อง เพราะองค์การนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย
ค่าโทรศัพท์นี้ จำเลยมีหน้าที่จ่ายให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยก็ต้องรับผิดในดอกเบี้ยด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ถึงแม้ว่าโจทก์เองจะยังไม่ได้ชำระให้องค์การโทรศัพท์ก็ตาม
เมื่อจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริงตามฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าภาระติดพันต่าง ๆ แก่โจทก์ตามข้อสัญญาครบถ้วนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน
คดีที่มีการสืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองฝ่ายและในฎีกาของจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานกันใหม่ ทั้งพยานหลักฐานที่ได้สืบกันมาก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาคัดค้านการกำหนดหน้าที่นำสืบอีก ย่อมฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3894/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาช่วงและอนุญาโตตุลาการ: การบังคับใช้ข้อตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญาหลัก
สัญญาว่าจ้างก่อสร้างช่วงระหว่างโจทก์กับจำเลยตกลงให้นำสัญญาหลักระหว่างจำเลยกับบริษัท อ. เจ้าของงานมาใช้บังคับ สัญญาหลักมีข้อตกลงว่าหากมีกรณีพิพาทอันเนื่องมาจากการปฏิบัติตามสัญญา คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้วินิจฉัย จึงถือว่าสัญญาว่าจ้างก่อสร้างช่วงระหว่างโจทก์กับจำเลยมีสัญญาอนุญาโตตุลาการแล้วตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 11 วรรคท้าย แม้ต่อมาโจทก์กับจำเลยตกลงเลิกสัญญาต่อกัน แต่ก็มิใช่กรณีมีเหตุที่ทำให้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นโมฆะหรือใช้บังคับไม่ได้ด้วยเหตุประการอื่น หรือมีเหตุทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญานั้นได้ ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง โจทก์และจำเลยยังมีหน้าที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้น
ส่วนกรณีสัญญาว่าจ้างก่อสร้างช่วงที่มีข้อกำหนดให้จำเลยเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อมีข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างช่วงนั้น หาได้ขัดหรือแย้งกับข้อตกลงให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการดังกล่าวไม่ เพราะข้อวินิจฉัยชี้ขาดของจำเลยไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย หากโจทก์ไม่ยินยอมปฏิบัติตาม ข้อพิพาทดังกล่าวย่อมต้องใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหลักอยู่ดี ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ระงับข้อพิพาทโดยกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการดังกล่าวในคดีนี้ก่อนจึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
ส่วนกรณีสัญญาว่าจ้างก่อสร้างช่วงที่มีข้อกำหนดให้จำเลยเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อมีข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างช่วงนั้น หาได้ขัดหรือแย้งกับข้อตกลงให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการดังกล่าวไม่ เพราะข้อวินิจฉัยชี้ขาดของจำเลยไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย หากโจทก์ไม่ยินยอมปฏิบัติตาม ข้อพิพาทดังกล่าวย่อมต้องใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหลักอยู่ดี ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ระงับข้อพิพาทโดยกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการดังกล่าวในคดีนี้ก่อนจึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว