พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหลังสัญญาจะซื้อจะขาย สิทธิการครอบครองยังคงเป็นของผู้ขายเดิมจนกว่าจะมีการโอนสิทธิอย่างถูกต้อง
ที่ดินตาม น.ส.3 ก.ที่พิพาทเดิมเป็นของ ร.มารดาจำเลยที่ 1เมื่อปี 2526 ร.จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา ต่อมาปี 2527ร.ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนเพราะจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณ ศาลพิพากษาให้ถอนคืนการให้ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ ร.ยังมิได้ไปจดทะเบียนการได้มาและได้ถึงแก่ความตายในปี 2531 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำ น.ส.3 ก.ของที่ดินพิพาทซึ่งยังมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองไปทำการจดทะเบียนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าการที่โจทก์ยึดถือครองทำนาและปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาทตลอดมา เป็นการยึดถือครอบครองแทน ร. โจทก์ย่อมไม่ได้สิทธิครอบครอง คดีนี้โจทก์มิได้ใช้สิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทของ ร.ให้โอนสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2
การที่ ร.ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ โดยระบุว่าผู้ขายและให้ผู้ซื้อเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอนทั้งสิ้น และในระหว่าง ร.ยังมีชีวิตโจทก์เคยไปติดต่อขอต้นฉบับ น.ส.3 ก. คืนจากจำเลยที่ 1 และเคยไปติดต่อที่สำนักงานที่ดิน แต่พนักงานเจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้ได้ เพราะไม่มีต้นฉบับที่ดินพิพาท ทั้งตอนซื้อขายที่ดินพิพาท โจทก์ทราบว่า ร.ยังไม่ได้นำคำพิพากษาไปจดทะเบียนโอนมาเป็นของ ร. แสดงว่าโจทก์และ ร.มีเจตนาที่จะโอนสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทโดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อ ร.มิได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ การที่โจทก์ยึดถือครอบครองทำนาและปลูกยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาท จึงเป็นการยึดถือครอบครองแทน ร.ตามสัญญาจะซื้อจะขายเท่านั้น แม้โจทก์จะครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง
การที่ ร.ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ โดยระบุว่าผู้ขายและให้ผู้ซื้อเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอนทั้งสิ้น และในระหว่าง ร.ยังมีชีวิตโจทก์เคยไปติดต่อขอต้นฉบับ น.ส.3 ก. คืนจากจำเลยที่ 1 และเคยไปติดต่อที่สำนักงานที่ดิน แต่พนักงานเจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้ได้ เพราะไม่มีต้นฉบับที่ดินพิพาท ทั้งตอนซื้อขายที่ดินพิพาท โจทก์ทราบว่า ร.ยังไม่ได้นำคำพิพากษาไปจดทะเบียนโอนมาเป็นของ ร. แสดงว่าโจทก์และ ร.มีเจตนาที่จะโอนสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทโดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อ ร.มิได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ การที่โจทก์ยึดถือครอบครองทำนาและปลูกยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาท จึงเป็นการยึดถือครอบครองแทน ร.ตามสัญญาจะซื้อจะขายเท่านั้น แม้โจทก์จะครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2827/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของผู้อื่น: การพิจารณาประเด็นสิทธิการครอบครองและการไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยนี้กับพวกรวม2 คน รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยจนกว่าจะรื้อถอนบ้านพิพาทศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าจำเลยได้เข้าไปอยู่ในบ้านพิพาทที่เจ้าของบ้านพิพาทคนก่อนได้ปลูกสร้างขึ้นไว้โดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 และมาตรา 1310 กรณีไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีความประมาทเลินเล่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าของบ้านพิพาทจะขอให้บังคับจำเลยกับพวกรื้อถอนบ้านพิพาทไม่ได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องค่าเสียหาย แม้คดีก่อนคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเช่นเดียวกับคดีนี้แต่คดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่ว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินของโจทก์หรือไม่และโจทก์เสียหายเพียงใดประเด็นดังกล่าวนี้จึงไม่เป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยแล้วในคดีก่อน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายเพื่อวินิจฉัยสิทธิก่อน
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญา มัดจำซื้อ ที่ดินพิพาทโดยจำเลยที่1และ ป.ผู้จะขายให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินไว้ก่อนและกำหนดนัดโอนเมื่อจำเลยที่1และ ป. ได้รับ หนังสือรับรองการทำประโยชน์จากเจ้าพนักงานแล้วต่อมา ป. ถึงแก่ความตายจำเลยที่1และ น.ซึ่งเป็นบุตรของ ป. มาแจ้งว่าไม่ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากเจ้าพนักงานและตกลงให้ที่ดินเป็นของโจทก์ไม่ขอเกี่ยวข้องอีกต่อไปต่อมาจำเลยที่1มีเจตนาทุจริตมาขอจัดการมรดกของ ป. แล้วขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่2ไปจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์เป็นการฟ้องในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งได้สิทธิโดยการครอบครองหาใช่โดยอาศัยสิทธิเรียกร้องตามสัญญามัดจำไม่เมื่อจำเลยที่1ให้การว่าโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็ชอบที่ศาลจะต้องฟัง พยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่การที่ศาลล่างสั่งให้ งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโดยยกสัญญามัดจำขึ้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงไม่ชอบ จำเลยที่1ฎีกาขอให้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3ที่พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาใหม่แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7015/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกัน การแบ่งแยกที่ดิน และสิทธิการครอบครอง
ทั้งโจทก์และจำเลยต่างได้ครอบครองที่ดินในบริเวณที่ปรากฏในแผนที่พิพาทส่วนฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่เท่าใดและฝ่ายใดครอบครองมาก่อนกันอันจะทำให้ฟังได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทนั้นปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีบ้านอยู่ในที่พิพาทอีกทั้งพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายไม่อาจรับฟังได้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแต่เพียงฝ่ายเดียวและฟังไม่ได้ว่ามีการครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนในส่วนไหนเท่าใดจึงควรฟังว่าโจทก์และฝ่ายจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทมาด้วยกันและต่างมีส่วนในที่พิพาทเท่าๆกันแม้ในวันที่16กรกฎาคม2533จำเลยได้นำรถตักดินเข้าไปตักดินในที่พิพาทกั้นคันดินเพื่อทำเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งอันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทก็ตามแต่โจทก์ก็ได้คัดค้านทันที่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่25มีนาคม2534เพื่อเรียกคืนการครอบครองภายใน1ปีสิทธิการฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ยังไม่ขาดไปและได้ความว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินในส่วนที่ไม่ได้โต้แย้งกันซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่พิพาทจึงเห็นควรให้โจทก์ได้ส่วนแบ่งในที่พิพาททางด้านทิศตะวันออกโดยแบ่งเนื้อที่ดินพิพาทออกเป็นสองส่วนเท่าๆกันและให้โจทก์มีสิทธิในที่พิพาททางด้านตะวันออกห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4119/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินจากผู้ไม่มีสิทธิและการครอบครองแทนเจ้าของเดิม สิทธิการครอบครองไม่เกิดขึ้น
ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยมิได้ยินยอมหรือรู้เห็นให้มารดาจำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ การที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากมารดาจำเลยผู้ไม่มีสิทธิย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์แม้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายก็ต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนจำเลย แม้ฟังว่าจำเลยทราบเรื่องหลังวันทำสัญญาประมาณ 3 เดือนจึงไปขอไถ่ที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์โจทก์ยอมให้ไถ่โดยมีข้อตกลงว่าหากจำเลยมีเงินเมื่อใดก็นำไปไถ่ได้นั้น ถือได้ว่าเป็นเพียงการที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ครอบครองแทนต่อไปเท่านั้น และเนื่องจากโจทก์มิได้เข้าครอบครองที่ดินนั้นโดยการแย่งการครอบครอง แม้โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนปัจจุบันก็มิได้สิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2570/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน & สิทธิการครอบครอง: ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฟ้องเนื่องจากที่ดินเป็นของผู้ร้องสอดและจำเลยครอบครองโดยอาศัยสิทธินั้น
เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์คงมีแต่ผู้ร้องสอดเท่านั้นที่ใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดเมื่อศาลฎีกาฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด และจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของผู้ร้องสอด ถือได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลยในเรื่องที่ดินพิพาทเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(1),247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์: สิทธิการครอบครองยังคงอยู่แม้มีคำพิพากษาขับไล่ หากยังไม่มีการบังคับคดี
โจทก์เช่าบ้านของ ส.ภรรยาจำเลยที่ 1 แล้วต่อมาถูก ส.ฟ้องขับไล่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านนั้น โจทก์ฎีกาและศาลฎีกายังไม่มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับ ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ไปต่างจังหวัดและใส่กุญแจบ้านพิพาทไว้โดยฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านออก และให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ขับไล่โจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นได้มีคำบังคับให้โจทก์ออกจากบ้านพิพาทภายใน 1 เดือน แต่ในวันอ่านคำพิพากษาดังกล่าวโจทก์ไม่ได้มาศาลและไม่ได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับไว้ ทั้งเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ไม่ได้นำส่งคำบังคับไปยังโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่งมาตรา 272 โจทก์จึงยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทและย่อมเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุกได้
โจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ขับไล่ ได้ออกจากบ้านพิพาทและขนย้ายสิ่งของออกไปหมดสิ้นแล้ว แต่เมื่อยังไม่ส่งมอบบ้านพิพาทคืน โดยได้ใส่กุญแจไว้และฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ทั้งโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทดังนี้ถือว่าโจทก์ครอบครอง บ้านพิพาทอยู่โดยปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านและให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่อาศัย จึงเป็นการใช้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 362, 84
โจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ขับไล่ ได้ออกจากบ้านพิพาทและขนย้ายสิ่งของออกไปหมดสิ้นแล้ว แต่เมื่อยังไม่ส่งมอบบ้านพิพาทคืน โดยได้ใส่กุญแจไว้และฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ทั้งโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทดังนี้ถือว่าโจทก์ครอบครอง บ้านพิพาทอยู่โดยปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านและให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่อาศัย จึงเป็นการใช้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 362, 84
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองห้องเช่าบนที่ดินของผู้อื่นหลังการซื้อขายทอดตลาด: อำนาจของผู้ซื้อ vs. ผู้เช่าเดิม
จำเลยซื้อห้องแถวพิพาทของผู้อื่นซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ได้จากการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาล หากมีสัญญาเช่าระหว่างผู้ร้องกับเจ้าของห้องแถวนี้ก่อนจำเลยซื้อ ก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์แต่อย่างใด และก่อนที่จำเลยจะรื้อห้องแถวไป ผู้ร้องยังอยู่ในห้องแถวได้ ก็ต้องถือว่าอยู่โดยอาศัยอำนาจของจำเลยผู้ซื้อห้องแถวนั้นมาได้ เมื่อผู้ร้องไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษ ที่ดีกว่า อำนาจของจำเลยให้ศาลเห็นได้ ก็ต้องออกจากห้องเช่าไปตามสัญญาประนีประนอมที่จำเลยตกลงไว้กับโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์สินของผู้รับมอบ: สิทธิการครอบครองยังไม่สละ หากไม่ได้มอบหมายอย่างชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์และได้ความจากผู้เสียหายว่าจำเลยเป็นน้องผู้เสียหายๆ ได้ให้จำเลยเอาเงินไปเก็บในตู้ซึ่งเป็นที่เก็บเงินและเสื้อผ้า ตู้นี้อยู่ในห้องนอนของผู้เสียหายผู้เสียหายได้มอบกุญแจตู้ให้จำเลยไปด้วย ข้อเท็จจริงดังนี้จะถือว่าผู้เสียหายสละสิทธิการครอบครองเงินนั้นให้แก่จำเลยแล้ว ยังไม่ได้ผู้เสียหายยังมีสิทธิครอบครองเงินนั้นอยู่ รูปคดีอาจเป็นเรื่องลักทรัพย์ไม่ใช่ยักยอก ซึ่งศาลควรฟังพยานโจทก์ต่อไป ไม่ควรสั่งงดสืบพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1784/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองสิ้นสุดเมื่อผู้เช่าสละการครอบครอง แม้เจ้าของสัญญาว่าจะให้กลับเข้าอยู่ใหม่ สิทธิเรียกร้องมีต่อเจ้าของทรัพย์สิน
ผู้เช่าตกลงยินยอมออกจากห้องเช่าโดยเจ้าของห้องจะซ่อมแซมห้องเช่า เมื่อซ่อมเสร็จแล้วจะให้ผู้เช่าเข้าอยู่ใหม่ แต่ครั้นซ่อมเสร็จแล้ว เจ้าของห้องกลับให้ผู้อื่นเช่าห้องนั้นอยู่ ดังนี้ ผู้เช่าคนเดิมไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ขับไล่ผู้เช่าคนใหม่ให้ออกจากห้องเช่านั้น แต่ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาความกับเจ้าของห้องที่กระทำผิดข้อตกลง