คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สิทธิเบิกจ่าย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 431/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, การมอบอำนาจ, อากรแสตมป์, สิทธิเบิกจ่ายเงิน, การขาดนัดยื่นคำให้การ
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยได้ ต้องเกิดจากข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบ เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงเท่ากับจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การในข้อที่เกี่ยวกับการขาดคุณสมบัติเป็นเจ้าอาวาสของพระปลัด ส.คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในข้อนี้ แม้จำเลยได้นำสืบต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นและยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ด้วยก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์โดยพระปลัด ส.ในฐานะเจ้าอาวาสได้มอบอำนาจให้ ล.และ ว.ในฐานะผู้รับมอบอำนาจร่วมกระทำการด้วยกันโดยเป็นโจทก์ฟ้องคดีแก่จำเลยเกี่ยวกับสมุดบัญชีเงินฝากในธนาคาร มิได้ให้แต่ละคนที่รับมอบอำนาจไปแยกกระทำการต่างหากจากกัน ดังจะเห็นได้จากใบแต่งทนายความที่ผู้รับมอบอำนาจทั้งสองคนก็ได้ลงลายมือชื่อร่วมกันเพื่อแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีนี้ จึงเป็นการมอบอำนาจให้บุคคลหลายคนร่วมกระทำการมากกว่าครั้งเดียวซึ่งตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้าย ป.รัษฎากรข้อ 7 (ข) กำหนดค่าอากรแสตมป์ไว้ 30 บาท
ตามสำเนาบัญชีเงินฝากและสำเนาแบบขอฝากเงินของนิติบุคคลระบุว่าการเปิดบัญชีเงินฝากรายพิพาทนี้ทำในนามวัดโจทก์ จำเลยเป็นเพียงผู้มีสิทธิลงลายมือชื่อเบิกจ่ายเงินตามบัญชีดังกล่าวแทนโจทก์ได้เท่านั้น ดังนี้หากโจทก์ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขลายมือชื่อผู้มีสิทธิเบิกจ่ายเงินตามบัญชีดังกล่าวอย่างไรโจทก์ก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว กรณีไม่มีนิติกรรมอย่างใดให้จำเลยต้องไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะลงลายมือชื่อเบิกจ่ายเงินให้แก่โจทก์จึงบังคับให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2623/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ: การย้ายที่ทำการของมหาวิทยาลัยและการตีความ 'ต่างท้องที่'
พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการพ.ศ.2527มาตรา7ประกอบเหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาแสดงว่าทางราชการประสงค์จะช่วยเหลือข้าราชการที่ต้องเสียค่าเช่าบ้านเมื่อต้องไปทำงานในท้องที่อื่นซึ่งมิใช่ท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรก จำเลยเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์รับราชการครั้งแรกที่กรุงเทพมหานครต่อมาโจทก์ย้ายที่ทำการใหม่ไปอยู่ต่างจังหวัดก็ต้องถือว่าจำเลยได้ไปรับราชการตามที่ทำการในต่างท้องที่จากที่รับราชการณที่เดิมแม้จะไม่มีคำสั่งให้จำเลยเดินทางไปประจำในที่ทำการต่างท้องที่ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2623/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการเมื่อหน่วยงานย้ายที่ทำการ แม้ไม่มีคำสั่งย้าย
จำเลยรับราชการครั้งแรกในกรุงเทพมหานครแล้วโอนมารับราชการที่มหาวิทยาลัยโจทก์ซึ่งขณะนั้นอยู่ในกรุงเทพมหานครแต่ต่อมาโจทก์ได้ย้ายที่ทำการใหม่ไปอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีต้องถือว่าจำเลยได้ไปรับราชการตามที่ทำการในต่างท้องที่จากที่รับราชการณที่เดิมแม้จะไม่มีคำสั่งให้จำเลยเดินทางไปประจำในที่ทำการการต่างท้องที่แต่เป็นเพราะเหตุโจทก์ย้ายที่ทำการใหม่ก็ตามก็ไม่มีผลแตกต่างกันเพราะที่ทำการใหม่ของโจทก์ที่ไม่ใช่ท้องที่ที่จำเลยเข้ารับราชการครั้งแรกจำเลยจึงมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการพ.ศ.2527

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาทประกันหนี้กู้ สิทธิเบิกจ่ายเมื่อครบกำหนด ไม่ใช่เช็คไม่มีมูลหนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ จำเลยให้การรับว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จริง โดยออกให้เพื่อประกันเงินกู้ตามสัญญากู้ซึ่งระบุว่า จำเลยได้มอบเช็คพิพาทซึ่งสั่งจ่ายเงินเท่ากับจำนวนเงินกู้และลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกับวันครบกำหนดชำระเงินกู้ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน ข้อความในสัญญากู้ดังกล่าวแสดงว่าเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้เงินกู้ หากจำเลยไม่ชำระโจทก์ก็มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อชำระหนี้เงินกู้ได้ หาใช่เป็นกรณีเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ดังจำเลยต่อสู้ไม่
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การฟังได้แล้วว่า โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงิน และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ คดีจึงพอวินิจฉัยได้แล้ว หามีความจำเป็นต้องสืบพยานใด ๆ ต่อไปอีกไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเบิกค่าพาหนะเดินทางของลูกจ้างที่ถูกบรรจุและส่งไปประจำต่างท้องถิ่น ต้องเป็นการเดินทางไปประจำการต่างท้องถิ่นที่เริ่มจ้าง
ตามระเบียบของจำเลยกำหนดว่า พนักงานที่เดินทางไปประจำการต่างท้องถิ่นหรือเดินทางกลับท้องถิ่นที่เริ่มจ้างเมื่อออกจากงาน มีสิทธิเบิกค่าพาหนะสำหรับครอบครัวและคนใช้ จำเลยมีคำสั่งบรรจุโจทก์เป็นพนักงานควบคุมผู้บ่มอิสระสำนักงานไร่ยาสูบเชียงรายตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2491 และมีหนังสือถึงผู้จัดการไร่ยาสูบ เชียงรายส่งตัวโจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวในเดือนเดียวกันนั้น เช่นนี้โจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งนั้นตั้งแต่วันที่ระบุในคำสั่งดังกล่าวแล้วจำเลยมิได้มีคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งโจทก์ให้ดำรงตำแหน่งอื่นในสำนักงานของจำเลยในกรุงเทพมหานครก่อนแล้วมีคำสั่งให้โจทก์ไปประจำการที่จังหวัดเชียงรายอันเป็นการประจำการต่างท้องถิ่นแต่อย่างใด ไม่โจทก์จึงมิใช่พนักงานที่เดินทางไปประจำการต่างท้องถิ่นที่เริ่มจ้าง อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเบิกค่าพาหนะเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพมหานครตามระเบียบของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2563

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ: การเบิกจ่ายถูกต้องตามระเบียบเท่านั้น แม้มีอนุมัติเบิกจ่ายก่อนหน้า หากไม่มีสิทธิก็ต้องคืน
ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
ว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
พ.ศ.2545 ข้อ 3 ได้กำหนดว่า “ท้องที่” หมายความว่า
กรุงเทพมหานคร... “ท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรก” หมายความว่า ท้องที่ที่มีคำสั่งบรรจุเข้ารับราชการเป็นครั้งแรก...
และข้อ 7 ได้กำหนดว่า ภายใต้บังคับข้อ 16 และข้อ
17 ข้าราชการผู้ใดได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่ มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านเท่าที่จ่ายจริงตามสมควรแก่สภาพแห่งบ้าน
แต่อย่างสูงไม่เกินจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้สำหรับข้าราชการพลเรือน เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้...
(3) ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่ในท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรก...
แสดงว่า ข้าราชการที่จะมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ จะต้องเป็นกรณีที่ผู้นั้นได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่นอกเหนือกรุงเทพมหานคร
แม้โจทก์จะมีคำสั่งให้จำเลยได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้รับราชการครั้งแรกตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง 3 กลุ่มงานคดีปกครอง
สำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค 9 (ยะลา) ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2544 ก็ตาม
แต่สำนักงานดังกล่าวยังไม่ได้เปิดทำการ โจทก์จึงมีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติราชการที่สำนักงานศาลปกครองในส่วนกลางที่สำนักงานส่งเสริมงานคดีปกครอง
สำนักงานศาลปกครองกลางที่กรุงเทพมหานครไปพลางก่อน
ต่อมาโจทก์มีคำสั่งย้ายให้จำเลยไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค
5 (นครศรีธรรมราช) ตำแหน่งพนักงานคดีปกครอง 3 กลุ่มงานคดีปกครอง แต่ขณะนั้นสำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค
5 (นครศรีธรรมราช) ยังไม่เปิดทำการ จำเลยจึงยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานศาลปกครองในส่วนกลาง
ที่สำนักงานส่งเสริมงานคดีปกครองตลอดมา จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยไม่เคยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติราชการประจำสำนักงานในท้องที่นอกเหนือกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริงแต่อย่างใด
จำเลยจึงย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามระเบียบดังกล่าว แม้จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้รับคำสั่งให้บรรจุและแต่งตั้งให้รับราชการครั้งแรกที่สำนักงานศาลปกครองในภูมิภาค
9 (ยะลา) ก็ตาม แต่เพียงการที่จำเลยได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้เริ่มรับราชการครั้งแรกในจังหวัดอื่นนอกเหนือจากกรุงเทพมหานครนั้น
ก็ยังไม่ก่อให้จำเลยมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ เพราะสิทธิการเบิกค่าเช่าบ้านจะต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่สำคัญที่ว่าข้าราชการผู้นั้นจะต้องได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานนอกเหนือกรุงเทพมหานครด้วย
เมื่อจำเลยมิได้รับคำสั่งในลักษณะดังกล่าว จำเลยจึงย่อมไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการจากโจทก์ได้