คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สิ่งของต้องห้าม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรม: ครอบครองกัญชา vs. นำสิ่งของต้องห้ามเข้าเรือนจำ
ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตกับความผิดฐานนำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ เป็นความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับ ซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำผิดแตกต่างแยกจากกันได้ สำหรับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองนั้น สาระสำคัญอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเมื่อใด ก็เกิดเป็นความผิดสำเร็จขึ้นเมื่อนั้นส่วนการนำกัญชาซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ ย่อมเป็นความผิดเมื่อจำเลยฝ่าฝืนนำเข้าไป ซึ่งเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหากเพราะจำเลยมีเจตนาที่แยกต่างหากจากการกระทำผิดฐานแรก แม้กัญชาของกลางในความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นจำนวนเดียวกันก็ตามการที่จำเลยมีกัญชาไว้ในความครอบครองและนำกัญชาดังกล่าวเข้าไปในเรือนจำ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางที่เป็นสิ่งของต้องห้ามในเรือนจำตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์
ตามกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 ข้อ 127 (9) ซึ่งแก้ไขโดยกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2547) ข้อ 3 กำหนดให้เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารอื่น รวมทั้งอุปกรณ์สำหรับสิ่งของดังกล่าวเป็นของต้องห้ามมิให้นำเข้ามาหรือเก็บรักษาไว้ในเรือนจำ และ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 45 วรรคสาม บัญญัติว่า "เงินและสิ่งของต้องห้ามเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามมาตรานี้ให้ริบเป็นของแผ่นดิน" เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซิมการ์ดทรู แบตเตอรี่ยี่ห้อโนเกีย และสายเสียบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง เป็นสิ่งของต้องห้ามที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาในเรือนจำโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ ดังนี้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซิมการ์ดทรู แบตเตอรี่ยี่ห้อโนเกียและสายเสียบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง จึงเป็นสิ่งของต้องห้ามอันพึงริบตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6585/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามนำสิ่งของต้องห้ามเข้าเรือนจำ แม้จับกุมก่อนถึงเรือนจำ
จุดด่านตรวจที่จับกุมจำเลยได้อยู่ห่างจากเรือนจำประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นจุดตรวจค้นพบของกลางเท่านั้น ยังไม่ใช่จุดปฏิบัติการบังคับเครื่องบินซึ่งจำเลยเคยมาทดสอบการใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บังคับด้วยวิทยุมาแล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยจะปฏิบัติการบังคับเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เข้าเรือนจำจึงอยู่ใกล้เรือนจำซึ่งสามารถกระทำได้ การกระทำของจำเลยถือว่าได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้เสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามนำโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5409/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเก็บรักษาสิ่งของต้องห้ามในเรือนจำไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 45 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ใดเข้าไปในเรือนจำโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ดี หรือบังอาจรับจาก หรือส่งมอบแก่ผู้ต้องขัง นำเข้ามาหรือเอาออกไปจากเรือนจำซึ่งเงินหรือสิ่งของต้องห้ามโดยทางใดๆ อันฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำก็ดี ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษ..." บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมิได้บัญญัติให้การเก็บรักษาสิ่งของต้องห้ามเป็นความผิดด้วย แม้จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้เก็บรักษาสิ่งของต้องห้ามตามฟ้องจริง การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7639/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสิ่งของต้องห้ามเข้าเรือนจำ: ความผิดฐานสนับสนุนและตัวการร่วม
การที่จำเลยซึ่งเป็นนักโทษได้นัดหมายให้บุคคลภายนอกที่เข้ามาเยี่ยมนักโทษให้นำเอา โทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมอุปกรณ์มาส่งมอบแก่จำเลยในเรือนจำ เมื่อจำเลยได้รับโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมอุปกรณ์แล้วก็ลักลอบนำเข้าแดนตนเองจนถูกจับกุมดำเนินคดีนั้น เมื่อ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 45 (เดิม) ที่ใช้อยู่ในขณะจำเลยกระทำความผิด มิได้บัญญัติให้การครอบครองหรือการเก็บรักษาไว้ซึ่งสิ่งของต้องห้ามในเรือนจำเป็นความผิด การที่จำเลยครอบครองและเก็บรักษาไว้ซึ่งสิ่งของต้องห้าม คือโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมอุปกรณ์ของกลางที่บุคคลภายนอกนำมาส่งให้ การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการผิดระเบียบของเรือนจำ และเป็นเรื่องที่จำเลยอาจต้องรับผิดทางวินัยของผู้ต้องขัง แต่ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ส่วนการที่บุคคลภายนอกลักลอบนำโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมอุปกรณ์อันเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้ามาให้จำเลยในเรือนจำ การกระทำของบุคคลภายนอกย่อมเป็นความผิดฐานนำสิ่งของต้องห้ามเข้ามาในเรือนจำ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับบุคคลภายนอกเป็นพวกเดียวกันมาก่อน จำเลยเพิ่งรู้จักเมื่อบุคคลภายนอกมาเยี่ยมผู้ต้องขัง และไม่ได้ความว่ามีการวางแผนแบ่งหน้าที่กันกระทำผิด ทั้งจำเลยต้องขังอยู่มิได้ออกไปนอกเรือนจำ การกระทำของจำเลยจึงไม่อาจเป็นตัวการร่วมกับบุคคลภายนอกได้ แต่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อให้บุคคลภายนอกกระทำการอันเป็นความผิด จำเลยจึงเป็นผู้ใช้ตาม ป.อ. มาตรา 84 ซึ่งเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นพิจารณาแตกต่างจากคำฟ้องในข้อสาระสำคัญ ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง การกระทำของจำเลยยังคงถือได้ว่าเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดนั้น ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนได้แม้โจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง เนื่องจากความผิดฐานเป็นตัวการหรือผู้ใช้ย่อมรวมความผิดฐานผู้สนับสนุนด้วยในตัวเอง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225